Friday, February 27, 2009

Mission วิดพื้นอาทิตย์ที่สี่ (เจ๊งนิดหน่อย)


(ต่อจาก "วิดพื้นอาทิตย์ที่สาม (เอ๊ะ เอ๊ะ อาจมีลุ้น)" ศุกร์ที่แล้ว ทั้งซีรี่ส์กด label pushup)

ข่าวใหญ่อีกอันหนึ่งก็คือ คุณอุ้ย น้องชายภรรยาผม เขาวิดพื้น 100 ครั้งได้อยู่แล้ว บ้านนี้แข็งแรงทุกคน (พ่อตาผมวิ่งมินิมาราธอนเรื่อยๆ) หวังว่าลูกๆผมจะได้ยีนแข็งแรงของแม่มาเยอะๆ

เริ่มอาทิตย์ที่สี่ด้วยความไม่มั่นใจอย่างยิ่ง เพราะเซ็ทสุดท้ายของทุกวันดูเยอะ และเป็นหวัดเลยคิดว่าร่างกายอาจไม่พร้อม

วันจันทร์ เขาให้ทำ 5 เซ็ท ประกอบด้วย 21, 25, 21, 21, และอย่างน้อย 32 ครั้ง ก็ทำได้พอดีเป๊ะอีกแล้วเหมือนจันทร์ที่แล้ว แล้วเพิ่มให้ได้อีก 10 ครั้งหลังเอาเข่าลงพักแป็บหนึ่ง วันอังคารพัก แขนไม่เจ็บ

วันพุธ ต้องทำ 5 เซ็ทดังนี้ 25, 29, 25, 25, และอย่างน้อย 36 ครั้ง ก็ไม่มั่นใจเหมือนปกติ แต่ผมพบความลับว่า ถ้าทำไปเรื่อยๆ แล้วมองไปข้างหน้าทีละ 5 ครั้งจะทำให้กำลังใจไม่เสียมาก ปรากฏว่าทำได้มากกว่าที่คิด คือได้ครบตามเกณฑ์ 25, 29, 25, 25, 36 แล้วแถมได้อีก 14 และ 10 ครั้งหลังหยุดพักหายใจหน่อยนึง วันพฤหัสแขนไม่เจ็บ

วันศุกร์ เห็นเซ็ทแล้วก็ไม่ค่อยมั่นใจอีกแล้ว เพราะต้องทำ 29, 33, 29, 29, และอย่างน้อย 40 พอทำ 4 เซ็ทแรกได้ครบก็ล้า เลยพักนานกว่าสองนาทีโดยชวนธีธัชคุยเรื่องหุ่นยนต์เพราะเปิด HBO และมีหนังเรื่อง Bicentennial Man ฉายอยู่ พักได้เกือบๆสี่นาที ก็มาเริ่มเซ็ทสุดท้าย ปรากฏว่าได้ต่ำกว่าเกณฑ์ไป 3 ครั้งคือได้ 37 เท่านั้น ไม่ไหวจริงๆเข่าตกพื้นเลย แขนหยุดทำงาน (ลืมท่องคาถา "ตายเป็นตายฯ" แบบศุกร์ที่แล้ว) พักต่ออีกหน่อยแล้ววิดแถมได้อีก 18 และ 10 ครั้ง

คิดว่าน่าจะทำอาทิตย์ที่ 5 ต่อได้เพราะสอบตกไปนิดเดียว เขาให้ทำ exhaustion test อีกว่าทำได้มากที่สุดกี่ครั้งเพื่อจะได้เลือกโปรแกรมอาทิตย์ต่อไปถูก ผ่านมา 2/3 ของทางแล้ว แต่จำนวนเซ็ทของอาทิตย์ต่อๆไปมากขึ้นอีก ดูแล้วกลัว

ผมดีใจมาก ที่มีบางท่านเมล์มาบอกผมว่าได้ทำตามแผนวิดพื้นเดียวกันนี้เพราะได้ยินมาจากผม สำหรับท่านที่อยากทำแต่วิดพื้นไม่ได้ อย่าลืมว่าท่านสามารถเริ่มได้ด้วยการให้เข่าติดพื้น หรือแทนที่จะวิดกับพื้นให้วิดกับกำแพงก่อนก็ได้นะครับ พอแขนและหน้าอกมีแรงมากขึ้น ก็วิดด้วยเข่าลอยได้ ดูรูปการวิดที่ถูกต้องที่หน้านี้ครับ

Tuesday, February 24, 2009

Science Geek VS. The Rest Of The Brain

ผมชอบเปิดไทยรัฐอ่านครับ ชอบดูการ์ตูน โฆษณา หน้าวิทยาการ หน้ารถวันอาทิตย์(เมื่อก่อนชอบหน้าดาราด้วย แต่ดาราที่เราชอบอายุมากขึ้น ไทยรัฐเลยไม่ค่อยลงข่าวแล้ว) ดังนั้นเมื่อผมเห็นไทยรัฐวางกองที่ไหน ผมก็จะไม่รีรอที่จะไปเปิดอ่าน

วันนี้ไปพบโฆษณานี้ครับ:


วูบแรกผมก็ชอบทันที เพราะมีคุณหนูดีซึ่งเป็นผู้หญิงสวย(มาก) + ฉลาด(มาก) โพสท่าเล็งธนู รวมเป็นภาพรวมที่ผมคิดว่าสวยงามและ sexy มาก ถูกต้องตามหลักจิตวิทยาและโฆษณาที่ว่าถ้าผู้ชายเห็นอะไรที่ sexy ความสามารถในการคิดและตัดสินใจจะลดลงทันที (งาน Motor Show งานคอมพิวเตอร์ และงานกล้องถึงมีพริตตี้เต็มไปหมดไงครับ เป็นที่รวมของเล่น ลูกค้าผู้ชาย และผู้หญิงพริตตี้สวยๆ)

แต่ช้าก่อน Science Geek ที่สิงอยู่ก็ตะโกนดังลั่นหัวว่า "หยุดก่อน มีอะไรทะแม่งๆในรูป" สมองส่วนอื่นก็ตะโกนตอบว่า "เงียบๆน่า จะชื่นชมหนูดีเล็งธนู" แต่ Science Geek ไม่ยอม แล้วก็ลากตาไปโฟกัสที่จุดนี้:


สมองส่วนอื่นถามว่า "อะไร ไหน ดูอะไร 'คุณก็เป็นแบบหนูดีได้' เหรอ? เอาน่าใครๆก็รู้ว่าเขาพูดเกินจริงในการโฆษณา จะเป็นแบบหนูดีได้ต้องโชคดีในการเกิด เติบโต สภาพแวดล้อม ทำงานหนัก ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มีความตั้งใจสูง ฯลฯ คนไม่กี่คนคงเป็นแบบหนูดีได้ และการที่หนูดีทานอะไรบางอย่าง แล้วเราทานของอย่างเดียวกันนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นแบบหนูดีได้ ใช่ไหม" และ "กรุณาปล่อยโฟกัสตานะ จะชื่นชมหนูดีต่อ"

สมองส่วน Science Geek ก็กระแอมดังๆแล้วบอกว่า "ไม่ใช่ มองลงนิดนึง เห็นพาราโบลา และสมการระยะของธนูหรือเปล่า":


Science Geek ตะโกนต่อ (ท่ามกลางเสียงก่นด่าอื้ออึงของสมองส่วนอื่นที่อยากดูหนูดีต่อ) "เห็นไหมว่าหนูดีไม่ได้ใส่ชุดอวกาศ?" สมองส่วนชมสาว (ส่วนที่เสียงดังที่สุด ในบรรดาสมองส่วนอื่น) ก็สวนว่า "ก็ใช่นะเด่ะ แล้วไง อย่าเสียเวลาได้ไหม จะดู" Science Geek ก็เลยตะโกนบอกว่า "แสดงว่าหนูดียิงธนูในที่ที่มีอากาศใช่ไหม? สมการระยะของลูกธนู ไม่ได้คิดถึงแรงต้านอากาศ จำได้ไหมตอนที่อาอี๊ดให้ HP11C Scientific Calculator แล้วเราทำตาราง projectile ที่คิดถึงแรงต้านอากาศน่ะ?" พูดได้แค่นี้สมองส่วนอื่นก็ปล่อย electromagnetic pulses ทำให้ Science Geek สลบชั่วคราว แล้วก็เฮโลไปดูหนูดีต่อ

แล้วผมก็เสร็จโฆษณาตามเคย

ปล.

1. ตัวอย่างสมการของ projectile ที่รวมและไม่รวมแรงต้านอากาศที่นี่ และที่นี่ครับ ถ้าสนใจทดลองหาระยะต่างๆเองไปเล่นที่นี่ได้เลยครับ

2. ผมโชคดีที่ได้เล่น Scientific Calculator ที่อาอี๊ดที่เป็นวิศวกรเอามาให้ตอน ม.5 ทำให้ผมค้นพบว่าสิ่งน่าสนใจหลายๆอย่างเขียนเป็นสมการสั้นๆไม่ได้ ต้องแก้แบบ numerical methods เอา เดี๋ยวนี้เด็กมี Scientific Calculator และโปรแกรมต่างๆเต็มไปหมด ไม่ได้เป็นของวิเศษเหมือนเมื่อตอนผมเป็นเด็กแล้ว ผมเคยพล่ามเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ Better Understanding VS. Stupid GPA ครับ มีลิงค์ไปยัง essay สุดยอดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็กในสมัยนี้และทำไมการเรียนแบบมีข้อจำกัดแบบศตวรรษที่แล้วอาจจะทำให้เด็กเสียโอกาสในการเรียนรู้ครับ

3. จริงๆผมไม่ได้ยินเสียงสมองส่วนต่างๆนะครับ แต่ตาขยับไปมาระหว่างหนูดีกับสมการจริงๆ ยังไม่เป็น Schizophrenia ครับ เหตุการณ์ข้างบนเกิดในเวลาน้อยกว่าหนึ่งวินาที คำพูดเป็นการ(เดา)จำลองเหตุการณ์เป็นภาษาคนจากสัญญาณที่สมองส่วนต่างๆคิดและควบคุมร่างกายครับ


5. ตอนผมจีบคุณอ้อ เคยไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ริมทะเลครับ ผมเหยียดแขนออกไป ยืดนิ้วโป้งมาด้านข้าง ใช้นิ้วโป้งกะมุมระหว่างดวงอาทิตย์กับขอบทะเล เทียบบัญญัติไตรยางค์ แล้วคำนวณว่าอีกกี่นาทีดวงอาทิตย์จะชนขอบฟ้า แล้วรายงานคุณอ้อ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่โรแมนติกมาก คุณอ้อได้แต่มองหน้าผมแล้วยิ้ม แล้วบอกว่า "พี่โก้ประหลาด" ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะยอมแต่งงานกับผมนะครับ เวลาผมเห็นสารคดีชีวิตนก ที่นกตัวผู้เต้นท่าแปลกๆหรือทำอะไรโง่ๆเพื่อจีบตัวเมีย ผมก็จะคิดกลับไปถึงเวลานั้น และคิดว่าถ้าผมเป็นนก ผมคงไม่มีคู่แน่ๆ

เชื่อผิดๆ ซวยเพิ่มขึ้น

ผมไปพบข่าวนี้ครับ: ตร.บุรีรัมย์บุกรวบ “สมีหื่น” ตุ๋ยเด็กชาย 12 ขวบ - หลังหลอกแม่ทำพิธีสะเดาะเคราะห์

ที่สะกิดใจก็ตรงคำว่า "หลังหลอกแม่ทำพิธีสะเดาะเคราะห์" แหละครับ

ความเห็นผมก็คือพวกทำพิธีไสยศาสตร์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นพวกหลอกลวงชาวบ้าน

ดังนั้นใครที่หวังให้คนประเภทนี้มา ดูดวง สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ตัดกรรม เสริมบารมี พาเข้าพบพระพุทธเจ้า ชมนิพพาน ติดสินบนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ขอให้เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ศาลพระภูมิช่วย ทำเสน่ห์ สาปแช่งศัตรู และอื่นๆอีกมาก ย่อมจะพบกับพวกเดนมนุษย์ที่หากินโดยหลอกลวงคนอื่นๆ ดังนั้นโอกาสจะซวยเพิ่มขึ้นย่อมมีมาก

ไม่เชื่อถามพระเจ้ามูลเมืองดูสิครับ

อย่าไปเชื่อพวกนี้ครับ ไม่เชื่อต้องลบหลู่ครับ ไม่งั้นอีกห้าพันปีมันก็ยังหลอกคนอยู่

ปล.

1. ฝรั่งก็รวบรวมความเสียหายจากการที่คนเชื่อผิดๆไว้นะครับ ลองอ่านดู จะรู้ว่าความเสียหายมันเยอะ บางคนลูกตายโดยไม่จำเป็น (368,379 people killed, 306,096 injured and over $2,815,931,000 in economic damages)

2. ผมเคยเปรียบเทียบหวยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่ลิงค์นี้ครับ เราไม่ควรหวังพึ่งพาทั้งคู่ในการแก้ปัญหาต่างๆ

3. ถ้าใครรู้จักหมอดูที่ทำนายอนาคตได้ ช่วยบอกผมด้วยครับ ผมสามารถหาเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐมาแบ่งกันได้ ถ้าทำนายได้แสดงว่าธรรมชาติของเวลาเป็นรูปแบบที่เราไม่คาดคิด คงมี Nobel Prizes in Physics อย่างน้อยอีก 5 อันจากการค้นพบนี้

4. ผมค้นพบวิธีพิสูจน์ว่า "ทำไมการดูชะตาชีวิตด้วยวันเดือนปีเกิดจึงไม่น่าจะทำได้" เมื่อปลายปี 2550 ยังไม่เห็นข้อผิดพลาดนะครับ ถ้าใครคิดว่าผิดพลาดตรงไหนช่วยดูแล้วบอกผมด้วย

5. การดูโหงวเฮ้งอาจใช้งานได้ ผมทำการทดลองที่อาจจะแสดงว่าคนมีความสามารถรู้ว่่าใครเป็นกังฉินได้โดยดูจากรูปถ่าย แต่ถ้านักศึกษาหรือนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นอยากทำการทดลองที่รัดกุมกว่านี้ได้ผลเป็นอย่างไรช่วยบอกผมด้วย ผลลัพธ์ของผมอาจเกิดจากความบังเอิญก็ได้ (ผมสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว ตอนผมยังหนุ่มๆ เวลาผมเดินกับกลุ่มเพื่อนๆที่ Las Vegas ทำไมคนแจกใบปลิวโชว์โป๊ หรือสาวๆขายตัว มันชอบแจกผมก่อนเสมอ หน้าผมมันหื่นกว่าเพื่อนอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยหรือ :-D  จริงๆแล้วมันอาจจะเกี่ยวกับผมหัวล้านเร็ว ซึ่งแปลว่าอาจมี Testosterone สูง ซึ่งคนอาจจะนำไปเกี่ยวข้องกับ sexual maturity โดยไม่ตั้งใจก็ได้ (ผมพยายามแก้ตัวว่าผมหน้าไม่หื่นน่ะครับ 5 5 5))


Monday, February 23, 2009

Slumdog Rules!

Didn't I tell you that "Slumdog Millionaire Should Win A Nobel Prize In Movie"?  Since there's no Nobel prize in movie, Slumdog got the next best thing, winning 8 Oscars! 

It won Best Picture, Directing, Music (Song), Music (Score), Film Editing, Sound Mixing, Cinematography, and Writing (Adapted Screenplay.)

If you haven't seen it, you should take a look.  I told my wife it's a chick movie to get her to see it and after she saw it she told me "Ko, it's not a chick movie." Ha ha ha.

My previous predictions didn't work out so well.  In 1991, I thought Beauty and the Beast would win the Best Picture, but The Silence of the Lambs won.  Also, in 1995 I thought Babe would beat Braveheart, but I was wrong.  But imagine a world where Babe beat Braveheart.  Well, I couldn't either, but a man must have some impossible dreams.


Sunday, February 22, 2009

บทความแทงใจดำ

ผมคิดว่าการเรียนเพื่อสอบเป็นสำคัญ ไม่เน้นความเข้าใจ เป็นการทำลายสมองเด็กอย่างค่อนข้างถาวรแบบหนึ่ง ตอนเด็กอยู่อนุบาล ทุกคนมีความกระตือรือล้น มีความคิดสร้างสรรค์ เวลาผ่านไปสิบกว่าปี ทำไมเด็กส่วนใหญ่ถึงเลิกคิด เลิกสงสัย เลิกประดิษฐ์ ขี้กลัว ไม่กล้าลองทำอะไรใหม่ๆกันนะครับ

จากบทความของคุณคำนูณ สิทธิสมานครับ
 
"...โครงสร้างการศึกษาในบ้านเราให้ความสำคัญเรื่องการแข่งขันเพื่อมุ่งเข้าสู่การศึกษาสูงสุดในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งที่ความสำคัญของช่วงชีวิตมนุษย์ที่ควรจะได้รับการเรียนรู้และส่งเสริมศักยภาพของสมองมากที่สุดคือช่วงวัย 0 - 6 ปี แม้พ่อแม่ยุคปัจจุบันส่วนหนึ่งจะมีความเข้าใจในเรื่องการศึกษามากขึ้น เห็นความสำคัญในช่วงปฐมวัยมากขึ้น บางคนให้ลูกได้เตรียมความพร้อม โดยเลือกโรงเรียนแนวเตรียมความพร้อมให้ลูก แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก็เข้าสู่ระบบแพ้คัดออก โดยใช้การสอบแข่งขันอยู่ดี

ท้ายสุด พ่อแม่ก็ไม่สามารถต้านกระแสการแข่งขันในรูปแบบนี้ได้ ก็ต้องผลักลูกเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เน้นการแข่งขันจนได้

ที่น่าประหลาดใจ ก็คือ เมื่อเด็กที่ถูกเคี่ยวกร่ำอย่างหนักมาตลอดชีวิตเพื่อการสอบแข่งขันทุกระดับจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของรัฐได้แล้ว เกิดอะไรขึ้น

คนหนุ่มสาวที่ชนะในระบบแข่งขันกลับเริ่มปล่อยปละละเลยความเข้มทางวิชาการ หันไปให้ความสนใจกับชีวิตในด้านอื่น บางคนที่เคยเคร่งกับการสอบมาตลอดชีวิตก็ปล่อยตัวปล่อยใจสุดฤทธิ์ในช่วงนี้..."

ผมต้องขอบใจโรงเรียนอนุบาลติดกับบ้านโรงเรียนหนี่ง ที่บอกให้ผมกับภรรยาไปสมัครให้ธีธัชเรียนในวันที่กำหนด เมื่อผมไปตามวันที่กำหนด ก็บอกว่ามีคนสมัครเต็มแล้ว แล้วให้ผมกรอกว่ามีรายได้ต่อเดือนเท่าไร พอผมเจออย่างนี้ ผมก็เลยคิดว่าถ้าโรงเรียนมันเล่นเกมโง่ๆเก่าๆโกงๆแบบนี้แล้ว จะสอนนักเรียนให้เป็นคนดีได้อย่างไร ก็เลยไปหาโรงเรียนอื่นๆ และมีโอกาสได้พบกับครูอ๊อบ ครูสุ และ คณะครูที่โรงเรียนอนุบาลบ้านพลอยภูมิ ที่เน้นการเรียนรู้จากธรรมชาติ และให้โอกาสผมเข้าไปสอนเด็กๆด้วย ตอนนี้กำลังพยายามรวมพลังกันทำประถมในแบบนี้ต่อไปครับ

ผมว่าถ้ามีสองทางเลือก แล้วทางหนึ่งมีโอกาสสูงที่จะทำลายความคิดเด็ก และอีกทางหนึ่งมีโอกาสสมองเสียน้อยกว่า แต่พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมมากขึ้น และมีความไม่แน่นอนในอนาคตมากกว่า ผมจะเลือกทางที่สองครับ ยังมีลุ้น

เรียนเพื่อสอบแต่ไม่มีความเข้าใจ เสียเวลา และอาจเป็นแบบ "ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งเซ่อ" นะครับ

Friday, February 20, 2009

วิดพื้นอาทิตย์ที่สาม (เอ๊ะ เอ๊ะ อาจมีลุ้น)


(ต่อจาก "วิดพื้นอาทิตย์ที่สอง (ต้นร้าย ปลายเกือบเจ๊งกะบ๊ง)" ศุกร์ที่แล้ว ทั้งซีรี่ส์ต้องกด label pushup)

ก่อนอื่นข่าวใหญ่ที่สุดคือคุณอ้อภรรยาผม ไปทดลองออกกำลังกายตามโปรแกรม Two Hundred Situps ตามที่ผมลิงค์ไว้ศุกร์ที่แล้ว เธอเริ่มทำทดสอบ ก็ได้ 78 ครั้งแล้ว เลยกระโดดไปโปรแกรมอาทิตย์ที่สามเลย ตอนนี้ปลายอาทิตย์เธอทำได้ 110 แล้ว ผมรู้ว่าคุณอ้อแข็งแรงแต่ไม่คิดว่าแข็งแรงถึงระดับนี้ สังเกตว่าเธอเริ่มออกกำลังกายมากขึ้นมาประมาณเกือบเดือน และรอบเอวเริ่มลดลงแล้ว (แข็งแรงอย่างนี้มีลูกแค่สามคน น่าเสียดายนะอ้อ น่าจะเพิ่มอีกสักสาม)

มีคนถามผมว่าถ้าวิดพื้นไม่ได้เลยสักครั้ง จะทำยังไง โปรแกรมนี้บอกว่าให้วิดพื้นแบบให้เข่าแตะพื้นก่อนก็ได้ พอแข็งแรงขึ้น ก็ให้วิดแบบเข่าลอย ถ้าใครสนใจอาจเริ่มแบบนั้นก่อนก็ได้ ไม่งั้นถ้าแก่เกินแล้วจะไม่ได้สะสมกล้ามเนื้อไว้เสื่อมตอนแก่ขึ้นไปอีก

ก่อนเริ่มอาทิตย์ที่สาม เขาให้ทำการทดสอบตัวเองโดยให้วิดไปเรื่อยๆจนไม่ไหว ผมก็ทำเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วหลังจากกลับมาจากทริปป่าชายเลนโรงเรียนบ้านพลอยภูมิ ปรากฎว่าได้ 30 ครั้ง ก็มีความก้าวหน้าพอควร เพราะทำเพิ่มมาจาก 15 เมื่อตอนเริ่มโปรแกรมสองอาทิตย์ที่แล้ว (ถ้าจะทำนายแบบ Computer Consultant อย่าง Gartner  ก็จะใช้การโตแบบ exponential: เพิ่มสองเท่าทุกสองอาทิตย์ หมดหกอาทิตย์ก็ได้ 120 ครั้งพอดี ฮ่า ฮ่า คงได้หรอก)

พอได้จำนวนครั้ง เราก็ไปดูว่าเราควรจะทำตามโปรแกรมไหนต่อ ปรากฎว่าทำตามคอลัมน์ขวาสุดซึ่งหนักสุด ดูๆแล้วคิดท้อว่าไม่น่าจะไหว โดยเฉพาะวันสุดท้าย

วันจันทร์ เขาให้ทำ 5 เซ็ท คือ 14, 18, 14, 14, และอย่างน้อย 20 ครั้ง ปรากฎว่าผมทำได้พอดีเป๊ะ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำได้ครบสำหรับเซ็ทประจำวันจันทร์  ตอนเย็นไปตีแบดได้ reflex เหมือนเดิม วันอังคารไม่เจ็บแขน  อ้อบอกว่าร่างกายมันปรับปรุงตัวเองอยู่แต่สมองไม่รู้ตัว

วันพุธ บอกให้ทำ 20, 25, 15, 15, และอย่างน้อย  25 ผมเห็นแล้วก็ค่อนข้างหมดหวัง แต่ก็ก้มหน้าก้มตาทำไปเรื่อยๆ  พอทำสองเซ็ทแรกได้สำเร็จ ใจเริ่มฮึกเหิม แรงมาเพิ่ม เลยทำได้ครบและเกิน minimum ไปอีกหน่อย คะแนนสุดท้ายได้ 20, 25, 15, 15, 30 (whoo-hoo!) และ 10 เป็นของแถม (yippy!) หลังจากหายใจเข้าลึกๆสักพักหลังเซ็ทสุดท้าย  วันนี้ adrenaline ตามด้วย endorphin ต้องหลั่งออกมาเยอะแน่ ดีใจนอนเป็นสุข

วันพฤหัสแขนไม่เจ็บ

วันศุกร์ ให้ทำ 22, 30, 20, 20, และอย่างน้อย 28 ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะรอดไหม ก่อนทำเลยเดินสูด oxygen ลึกๆอยู่นานหลายนาที พอเริ่มทำก็รู้สึกไม่แข็งแรงเหมือนวันพุธ จบไปสี่เซ็ทแรกก็ล้าแล้ว ใจก็คิดว่ายังเหลืออีกตั้ง 28 ครั้งจะทำไงดีหว่า ในที่สุดก็เลยท่องคาถา "ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ข้าจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด" หลายรอบจนเป็นสมาธิตื้นๆ แล้วก็วิดพื้นต่อไปเรื่อยๆ จบแหมะที่ 28 พอดี เลยนอนหอบอยู่พักแล้วพยายามแถม ก็ได้เพียง 3 ครั้ง แล้วหายใจพัก แล้วแถมได้อีก 7

Endorphin เต็มตัว สบาย

มาครึ่งทางแล้ว แต่อาทิตย์ต่อๆไปดูโหดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คงต้องพยายามทำต่อไป เผื่อจะสำเร็จ

Thursday, February 19, 2009

ผมจะไปออกคอนเสิร์ต*ใส่ใจ

ถ้าใครจะไปแถว Siam Paragon วันอาทิตย์ที่ 22 นี้ และต้องการเห็นผมใส่สูท** ผมจะอยู่แถวนั้นประมาณ 15:00-16:00 ครับ

มีงาน Thailand Software Fair 2009 ที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 ชั้น 5 ครับ แล้วทางผู้จัดงาน (SIPA และ สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย) ให้เกียรติผมไปพูดเรื่อง “ใส่ใจครอบครัว ใส่ใจสังคม ด้วยซอฟต์แวร์ใส่ใจ” ครับ นอกจากผมแล้วยังมีเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องครับ งานมีตั้งแต่วันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ ครับ

ซอฟต์แวร์ใส่ใจ*** สามารถใช้กรองเว็บไซต์ (ที่ไม่เหมาะกับเด็ก) ตั้งเวลาการใช้คอมพิวเตอร์ (เว็บ แชท เกม) และรายงานการใช้งานคอมพิวเตอร์ของลูก (ดูจากที่ทำงานก็ได้) เพื่อให้พ่อแม่ดูแลและเข้าใจลูกได้มากขึ้นครับ ออกแบบสำหรับดูแลลูกอายุประมาณ 8-13 ปีครับ 

--- - ---- - ----- ---------
* ความจริงผมไม่ได้ออกคอนเสิร์ตหรอกครับ ผมอ่านไทยรัฐบ่อยไปหน่อย เลยติดนิสัยพาดหัวตื่นเต้นเกินเหตุ ขออภัยถ้าท่านรำคาญนะครับ

** ผมไม่ชอบการใส่เสื้อแขนยาว ผูกไท และใส่สูทในเมืองร้อนเอามากๆ มันเหมือนกับการเอาสิงโตทะเลจากขั้วโลกมาทรมานแถวเส้นศูนย์สูตรครับ ผมกำลัง ลด ละ เลิก พฤติกรรมนี้ลงไปเรื่อยๆ ปีหน้าอาจไม่เห็นผมผูกไทแล้ว ถ้าจะดูสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ต้องรีบดูนะครับ :-)

*** ฉลากแสดงคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ใส่ใจครัับ:


ผมพล่ามเรื่อง SaiJai.net ในอดีตไว้เยอะเหมือนกันครับ

Tuesday, February 17, 2009

เสียความมั่นใจ

ผมอ่านนิตยสาร Chip เดือนกุมภาแล้วไปพบหน้าข่าวประชาสัมพันธ์หน้านี้:


ผมก็เลยเรียกลูกๆและหลานภูมิมาดูว่าเห็นอะไรในหน้าหนังสือ 

ธีธัช และภูมิตะโกนพร้อมกันว่า "เบ็นเท็น!"  แล้วธัชธีญาก็มาเพ่งที่หนังสือใหญ่ แล้วถามว่า เบ็นเท็นอยู่ไหน เบ็นเท็นอยู่ไหน

นี่ขนาดธีธัช กับธีญาไม่เคยดูการ์ตูน เบ็นเท็น เลย ได้แต่ฟังเพื่อนๆเล่าว่าเบ็นเท็นแปลงร่างได้สิบอย่าง และได้รับของแจกเป็นสติกเกอร์เบ็นเท็น เท่านั้น

จริงๆแล้วสิ่งที่ผมพยายามอวดลูกคืออันนี้:

Monday, February 16, 2009

Spare 10 Minutes And Understand Evolution

If you have ever wondered that, if evolution is real, why don't apes change into human, or you have thought evolution is too improbable to work, you should see this excellent video clip: (Click here or watch below):




Sunday, February 15, 2009

You Might Be A Math Geek If...

... you just got back from your kids' school trip and you saw this headline in math.reddit.com:

r=3-3sin(t)+sin(t)sqrt(abs(cos(t)))/(sin(t)+1.4),

and you strongly suspected that this is a heart in polar coordinate, and you could not do anything else until you plotted it to know for sure.

Well, it happened to me and here is the picture:


I guess I have too much useless information in my head.  

Also, for an extra level of math-geekiness, here is a Sierpinski Valentine from one of my favorite web comic sites, xkcd:

I think it is a very funny play on the Sierpinski triangle, a famous fractal (a shape that exhibits self similarity, like clouds, beaches, rivers, leaves, etc.)

Anyway, if you fancy a girl or a boy who is into math, this info might come in handy next Valentine day, or not.

P.S.  My 3-year-old daughter Tatia took the picture below using my wife's DSLR during the school trip.  Either she is a very talented child or this confirms my belief that if you generate a lot of pictures, some are bound to be good!

Friday, February 13, 2009

วิดพื้นอาทิตย์ที่สอง (ต้นร้าย ปลายเกือบเจ๊งกะบ๊ง)

ต่อจาก "วิดพื้นอาทิตย์ที่หนึ่ง (ต้นร้าย ปลายดี มั้ง?)" เมื่อศุกร์ที่แล้ว ทั้งซีรี่ส์ต้องกด label pushup

อาทิตย์ที่สองเขาให้ทำสามวัน โดยมีวันพักคั่นหนึ่งวัน

วันจันทร์ ต้องทำ 5 เซ็ท ประกอบด้วย 14, 14, 10, 10, และอย่างน้อย 15 ครั้งผมก็สอบตกเหมือนจันทร์ที่แล้ว คือได้ 14, 14, 10, 10, 12 ขาดไป 3 ครั้งในเซ็ทสุดท้าย แต่ร่างกายมันหมดสภาพแค่นั้นเองครับ

วันอังคารแขนไม่เจ็บนะ แปลก

ต่อมาวันพุธ ต้องทำ 5 เซ็ท ประกอบด้วย 14, 16, 12, 12, และอย่างน้อย 17 ครั้ง ก็เป็นไปตามคาด คือขาดไปหนึ่งครั้งในเซ็ทที่ 4 และ ขาดไป 2 ครั้งในเซ็ทสุดท้าย คะแนนได้ 14, 16, 12, 11, 15  แต่วันพฤห้สแขนก็ไม่เจ็บอีกแล้ว

เริ่มมาวันศุกร์ คิดแต่เช้าว่าไม่รอดแน่ๆ ต้องทำ 5 เซ็ท  16, 17, 14, 14, และอย่างน้อย 20 ผมก็พยายามนับทีละน้อยๆ ไปเรื่อยๆ ก็เลยได้ 16, 17, 14, 14, และ 20 แล้วพังพาบติดพื้นไป เซ็ทสุดท้ายเริ่มอืดตั้งแต่ 13 แล้ว ต้องหายใจสูดออกซิเจนเข้าไปลึกๆทุกๆครั้ง  พอพังพาบได้ประมาณ 2 นาทีก็ต่อได้อีก 5 ครั้ง

เทรนด์เหมือนอาทิตย์แรกเลยที่ต้นอาทิตย์แย่กว่าปลายอาทิตย์ ตามแผนเขาให้สอบตัวเองอีกครั้ง โดยให้ทำให้มากที่สุดจนไม่ไหวจะได้เลือกโปรแกรมอาทิตย์ที่สามให้ถูกอัน เดี๋ยวผมต้องมาสอบเย็นวันอาทิตย์หลังจากไปทัศนศึกษาป่าชายเลนกับธีธัช ธีญา

ถ้าไม่ได้ประกาศว่าจะทำให้สำเร็จ ผมคงเลิกไปเมื่อกลางอาทิตย์แล้วเนี่ย

ปล. 

1. นำ้หนักลดไป 2.4% คิดเป็น 2.5 กิโลแล้ว คงเป็นเพราะผมเลิกกินขนมกวงเม้งและ chocolate ดึกๆ เป็นผลพลอยได้ที่ชอบมาก

2. มีโปรแกรม Two Hundred Situps  ด้วย ถ้าใครสนใจจะสร้างกล้ามเนื้อท้องไว้เผาผลาญอาหารอร่อยๆ

เนื่องในวาระวันแห่งความรัก


วันวาเลนไทน์จะมาอีกแล้วนะครับ ตอนผมเด็กๆวันนี้ไม่ค่อยมีคนตื่นเต้นกับมันเท่าไร แต่ตอนนี้กลายเป็นวันคึกคักไปแล้ว  เนื่องในโอกาสนี้ผมเลยขอเสนอข้อสังเกตและข้อมูลเกี่ยวกับความรักดังนี้

1. 100% ของการหย่าร้างเริ่มจากการแต่งงาน (ทุกครั้งที่มีคนบอกผมว่าจะแต่งงาน ผมอยากจะพูดประโยคนี้ แต่กลัวว่าเขาจะไม่ตลกด้วย)

2. เวลาใครมาบอกรักเราว่า จะรักเธอตลอดไป เขาไม่น่าจะพูดความจริง เพราะเขาไม่น่าจะคิดถึง อายุของจักรวาล ปริมาณอนันต์ หรือวิธีที่เขาจะเป็นอมตะขณะที่เขาพูดคำนั้น  ผมระวังมากเรื่องนี้ เลยบอกภรรยาว่าจะรักเธอจนตายจากกัน (แต่เธอก็ว่าผมว่าไม่โรแมนติกอยู่ดีเพราะเคยให้ Dictionary เป็นของขวัญวันเกิดตอนเป็นแฟนกัน และให้ดอกไม้ไหว้พระกับเธอ (ก็เห็นมันสวยดีนี่นา))

3. ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เรารู้เกี่ยวกับความรัก (ภาษาไทย) ความรู้เราอาจยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นจริงพอควร ถ้าอยากฟังจากนักวิจัย Dr. Helen Fisher โดยตรงก็ไปดูที่นี่

4. วิธีเอาตัวรอดโดยจะเด็ดในผู้ชนะสิบทิศ: "ข้าพเจ้ารักจันทราด้วยใจภักดิ์ แต่รักกุสุมาด้วยใจปอง"

5. แนะนำหนังรัก: Immortal Beloved เป็นเรื่องแต่งเกี่ยวกับความรักของ Beethoven (เป็นเรื่องแต่งที่เฉลยว่าใครเป็นผู้หญิงที่ Beethoven รักและเรียกว่า Immortal Beloved ในจดหมายที่มีอยู่จริงๆของเขา เฉลยตอนจบ ดังนั้นอย่าดูตอนจบก่อนนะครับ) 

ปล.

ภาพประกอบคือหอยแครงหัวใจ (Heart Cockle) ครับ เวลามันเปิดปิดเปลือกจะเหมือนหัวใจสลาย

Thursday, February 12, 2009

วันเกิด ชาร์ลส์ ดาร์วิน

ย้ายไป http://witpoko.com/?p=322 แล้วครับ

One More Tabblo By Aor


Aor just published Caterpillar Adventure at Tabblo.com.  This one is about the time when our children and their friends kept caterpillars as pets last December.  If you like the pictures, don't forget to leave her a message at Tabblo.  She will be very happy.

Wednesday, February 11, 2009

My Wife's Newest Tabblo

Aor produced another Tabblo after a long hiatus (since last October, the last ones being about water color painting and the Emerald Buddha Temple),   This newest one is about our trip to Prajeenburi, our grandmother's hometown.

Sunday, February 08, 2009

Memristor?

Anyone who has played around with electric circuits knows resistors, capacitors, and inductors.  Few people knows about memristors though.  The memristor idea was thought up by Professor Leon Chua in 1971 and physical devices were just intentionally created in the lab in 2008.

An adventure story of how physical memristors were created is given by R. Stanley Williams, one of the inventors, here.  Below are the excerpts about what a memristor is and how a 31-year-old, mostly-forgotten theory provided a breakthrough in understanding the experiments:

Memristor is a contraction of “memory resistor,” because that is exactly its function: to remember its history. A memristor is a two-terminal device whose resistance depends on the magnitude and polarity of the voltage applied to it and the length of time that voltage has been applied. When you turn off the voltage, the memristor remembers its most recent resistance until the next time you turn it on, whether that happens a day later or a year later.

and

We were frustrated and burned out. Here we were, in late 2002, six years into our research. We had something that worked, but we couldn’t figure out why, we couldn’t model it, and we sure couldn’t engineer it. That’s when Greg Snider, who had worked with Kuekes on the Teramac, brought me the Chua memristor paper from the September 1971 IEEE Transactions on Circuits Theory. “I don’t know what you guys are building,” he told me, “but this is what I want.”

To this day, I have no idea how Greg happened to come across that paper. Few people had read it, fewer had understood it, and fewer still had cited it. At that point, the paper was 31 years old and apparently headed for the proverbial dustbin of history. I wish I could say I took one look and yelled, “Eureka!” But in fact, the paper sat on my desk for months before I even tried to read it. When I did study it, I found the concepts and the equations unfamiliar and hard to follow. But I kept at it because something had caught my eye, as it had Greg’s: Chua had included a graph that looked suspiciously similar to the experimental data we were collecting.

But what memristors can be used for?  The author suggests super-dense, super fast digital memory that does not requires electrical current to keep its state (for computers that turns instantly on and off), and an analog simulation of the brain (by encoding synaptic strengths using memristors.)   

Saturday, February 07, 2009

Bill Gates Talks About Mosquitoes And Teachers

...one is a vector of death, the other a vector of knowledge.



He talked about how his charity is trying to improve the malaria problem and the US education situation.  To download the clip or to read viewer comments, go to the page here.

One of my friends actually supplies the bed nets to UN to help cut down malaria.

Friday, February 06, 2009

วิดพื้นอาทิตย์ที่หนึ่ง (ต้นร้าย ปลายดี มั้ง?)

ต่อจาก"มาวิดพื้นกันดีกว่า" เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ตามตารางอาทิตย์ที่หนึ่งเขาให้ทำสามวัน มีพักระหว่างวัน ผมก็เลยทำวันจันทร์ พุทธ ศุกร์

วันจันทร์ แผนให้ทำ 5 เซ็ท ประกอบด้วย  10, 12, 7, 7, และตามด้วยมากที่สุดที่ทำได้ แต่ไม่น้อยกว่า 9 ครั้ง  มีพักหนึ่งนาทีระหว่างเซ็ท  ผมก็ทำไม่สำเร็จ คือ 10, 12, 7, 7, และ 5 (ไม่ถึง 9) แล้วตัวก็แปะอยู่กับพื้น  พอไปตีแบดต่อ ปรากฏว่า reflex เจ๊งหมด ตีไม่ได้เรื่องกว่าเดิมอีก เพราะกล้ามเนื้อล้าหมดแล้ว

ตอนพักวันอังคาร แขนก็เจ็บๆ แต่คิดว่าวันพุธคงหายทัน

แขนยังเจ็บๆอยู่เมื่อวันพุธ แผนให้ทำ 5 เซ็ท ประกอบด้วย 10, 12, 8, 8, ตามด้วยมากที่สุดที่ทำได้ ไม่น้อยกว่า 12 ครั้ง  มีพัก 1.5 นาทีระหว่างเซ็ท  ผมก็สอบตกอีก ทำได้แบบ  10, 12, 8, 8, และ 5 อีกแล้ว ใจก็คิดว่าต้องซำ้แผนอาทิตย์หนึ่งอีกแน่ๆ

พักวันพฤห้ส แขนเจ็บ แต่เจ็บน้อยกว่าวันอังคาร

วันศุกร์ แขนหายเจ็บแล้ว เลยมีความหวังว่าอาจจะทำได้ครบตามแผน แผนให้ทำ 11, 15, 9, 9, ตามด้วยมากที่สุดแต่ไม่น้อยกว่า 13 พัก 2 นาทีระหว่างเซ็ท  ปรากฏว่าเกิดปาฏิหารย์ ทำได้ 11, 15, 9, 9, 14 แล้วพอหยุดพักหายใจยังแถมได้อีก  5 ครั้ง

รู้สึกว่าเทรนด์จะดีขึ้นปลายอาทิตย์ ดังนั้นผมจะลองทำแผนสัปดาห์ที่ 2 ต่อ ถ้าไม่ไหวก็จะกลับมาทำสัปดาห์ 1 ใหม่

การพล่ามบอกชาวบ้านว่าจะออกกำลังนี่ดีครับ ผมต้องพยายามทำตามที่พูดไว้ ไม่เลิกเสียก่อน

ธีธัชนักสร้างรถถัง

วันนี้ธีธัชเจ็บคอ จึงหยุดเรียน แต่จะติดตามพ่อกับแม่ไปที่ทำงานด้วย แม่อ้อเอากล่องเครื่องมือประดิษฐ์ของเล่น (มีกระดาษ กรรไกร กาว เทป ฯลฯ) ไปด้วย และบอกให้ธีธัชประดิษฐ์ของเล่นเอง พ่อโก้บอกว่าธีธัชทำรถถังเลย แต่ธีธัชบอกว่าทำไม่เป็น ทั้งพ่อและแม่เลยบอกว่าไม่เป็นไร คิดว่ารถถังหน้าตาอย่างไรก็ทำแบบนั้น

ธีธัชไปขอกระป๋องอลูมิเนียมเปล่าๆจากอาโก้แล้วหายไปในห้องนอนของเขา  ตอนเที่ยงก็ออกมาพร้อมกับรถถัง:


ไว้คราวหน้าธีธัชป่วย พ่อโก้จะลองให้ประดิษฐ์ Warp-Drive/Time Machine

Tuesday, February 03, 2009

รีบเล่นกลนี้ให้เด็กๆดู เผื่อหาอุปกรณ์ยากขึ้น


หาอุปกรณ์เก็บไว้ก่อนก็ดีนะครับ ไม่รู้ว่าจะหายากในอนาคตไหม:


ผมไม่รู้ว่าเหรียญใหม่จะใช้ได้ไหม ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ควรตุนเหรียญเก่าไว้เล่น


Sunday, February 01, 2009

ถ้าอยากสร้างเสียงภูเขาไฟระเบิด ต้องใช้ลำโพงนี้เลย

ผมไปเห็นโฆษณาลำโพงติดรถแบบนี้ครับ


เขาบอกว่าทำเสียงดัง 180.6 dB หรือ decibels (แม้ว่าภาพ LED จะอ่านว่า 180.8 ก็เถอะ)

ผมจำได้ลางๆว่าเสียงประมาณ 100 dB ถ้าฟังนานๆหูจะเสีย และถ้าดังประมาณ 140-150 dB ก็จะทำให้หูเสียทันทีเลย จึงไปหาตารางว่าเสียง 180 dB ดังเทียบกับอะไรได้บ้าง

จากตารางที่ Wikipedia Decibel Table และ The Engineering Toolbox ผมเจอข้อมูลดังนี้:

เสียงเครื่องเจาะถนน (ห่าง 1 เมตร) = 100 dB
เสียงคอนเสิร์ทร็อค (ห่าง 2 เมตร) = 120 dB
เสียงปืนไรเฟิล (ห่าง 1 เมตร) = 140 dB
เสียงเครื่องยนต์ไอพ่น (ห่าง 30 เมตร) =150 dB
เสียงปืนไรเฟิลแบบ M1 Garand แบบใน Saving Private Ryan (ห่าง 1 เมตร) = 168 dB
เสียงภูเขาไฟกรากะตั้วระเบิด (ห่าง 160 km) = 180 dB

ดังนั้นถ้าอยากดูหนังสงครามเช่น Saving Private Ryan หรือทำเสียงภูเขาไฟระเบิดให้สมจริงต้องไปฟังในรถเลย แต่หูพังแน่ครับ

ปล. 

เคยไปยิงปืน แล้วมีคนยิงไรเฟิลขนาด .308 แล้วผมไม่ได้ใส่หูฟังตัดเสียง สะดุ้งโหยง เจ็บหู และมีเสียงหวี่ๆในหูอีกเป็นวันครับ เข้าใจว่าขนรับเสียงในหูคงถูกคลื่นเสียงซัดจนบาดเจ็บหรือตายไปเลย ผมดูจากขนาดกระสุนแล้วเข้าใจว่าเสียงน่าจะประมาณ 150-160 dB

ภูเขาไฟกรากะตั้วอยู่ในอินโดนีเซีย ระเบิดเมื่อเกือบ 130 ปีมาแล้ว ตอนระเบิดปล่อยพลังงานประมาณ 13,000 เท่าของระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรก และประมาณ 4 เท่าของระเบิดนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้เกาะหายไปกว่าครึ่ง และเกิดสึนามีเข้าเมืองไทยสมัยนั้น เสียงระเบิดได้ยินถึงกรุงเทพ มีขุนนางเข้าไปทูล ร. 5 ว่ามีข้าศึกบุก แต่ ร. 5 รับสั่งว่าลักษณะเสียงไม่เหมือนปืนใหญ่

ความดังต่างกัน 20 dB หมายความว่าแรงดันอากาศที่กดหูเราต่างกัน 10 เท่าครับ ดังนั้นเสียง 180 dB จะมีแรงกดหูเรา มากกว่าแรงจากเสียง 100 dB (เช่นเครื่องเจาะถนน) = 10 x 10 x 10 x 10 = 10,000 เท่าครับ