Sunday, February 22, 2009

บทความแทงใจดำ

ผมคิดว่าการเรียนเพื่อสอบเป็นสำคัญ ไม่เน้นความเข้าใจ เป็นการทำลายสมองเด็กอย่างค่อนข้างถาวรแบบหนึ่ง ตอนเด็กอยู่อนุบาล ทุกคนมีความกระตือรือล้น มีความคิดสร้างสรรค์ เวลาผ่านไปสิบกว่าปี ทำไมเด็กส่วนใหญ่ถึงเลิกคิด เลิกสงสัย เลิกประดิษฐ์ ขี้กลัว ไม่กล้าลองทำอะไรใหม่ๆกันนะครับ

จากบทความของคุณคำนูณ สิทธิสมานครับ
 
"...โครงสร้างการศึกษาในบ้านเราให้ความสำคัญเรื่องการแข่งขันเพื่อมุ่งเข้าสู่การศึกษาสูงสุดในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งที่ความสำคัญของช่วงชีวิตมนุษย์ที่ควรจะได้รับการเรียนรู้และส่งเสริมศักยภาพของสมองมากที่สุดคือช่วงวัย 0 - 6 ปี แม้พ่อแม่ยุคปัจจุบันส่วนหนึ่งจะมีความเข้าใจในเรื่องการศึกษามากขึ้น เห็นความสำคัญในช่วงปฐมวัยมากขึ้น บางคนให้ลูกได้เตรียมความพร้อม โดยเลือกโรงเรียนแนวเตรียมความพร้อมให้ลูก แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก็เข้าสู่ระบบแพ้คัดออก โดยใช้การสอบแข่งขันอยู่ดี

ท้ายสุด พ่อแม่ก็ไม่สามารถต้านกระแสการแข่งขันในรูปแบบนี้ได้ ก็ต้องผลักลูกเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เน้นการแข่งขันจนได้

ที่น่าประหลาดใจ ก็คือ เมื่อเด็กที่ถูกเคี่ยวกร่ำอย่างหนักมาตลอดชีวิตเพื่อการสอบแข่งขันทุกระดับจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของรัฐได้แล้ว เกิดอะไรขึ้น

คนหนุ่มสาวที่ชนะในระบบแข่งขันกลับเริ่มปล่อยปละละเลยความเข้มทางวิชาการ หันไปให้ความสนใจกับชีวิตในด้านอื่น บางคนที่เคยเคร่งกับการสอบมาตลอดชีวิตก็ปล่อยตัวปล่อยใจสุดฤทธิ์ในช่วงนี้..."

ผมต้องขอบใจโรงเรียนอนุบาลติดกับบ้านโรงเรียนหนี่ง ที่บอกให้ผมกับภรรยาไปสมัครให้ธีธัชเรียนในวันที่กำหนด เมื่อผมไปตามวันที่กำหนด ก็บอกว่ามีคนสมัครเต็มแล้ว แล้วให้ผมกรอกว่ามีรายได้ต่อเดือนเท่าไร พอผมเจออย่างนี้ ผมก็เลยคิดว่าถ้าโรงเรียนมันเล่นเกมโง่ๆเก่าๆโกงๆแบบนี้แล้ว จะสอนนักเรียนให้เป็นคนดีได้อย่างไร ก็เลยไปหาโรงเรียนอื่นๆ และมีโอกาสได้พบกับครูอ๊อบ ครูสุ และ คณะครูที่โรงเรียนอนุบาลบ้านพลอยภูมิ ที่เน้นการเรียนรู้จากธรรมชาติ และให้โอกาสผมเข้าไปสอนเด็กๆด้วย ตอนนี้กำลังพยายามรวมพลังกันทำประถมในแบบนี้ต่อไปครับ

ผมว่าถ้ามีสองทางเลือก แล้วทางหนึ่งมีโอกาสสูงที่จะทำลายความคิดเด็ก และอีกทางหนึ่งมีโอกาสสมองเสียน้อยกว่า แต่พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมมากขึ้น และมีความไม่แน่นอนในอนาคตมากกว่า ผมจะเลือกทางที่สองครับ ยังมีลุ้น

เรียนเพื่อสอบแต่ไม่มีความเข้าใจ เสียเวลา และอาจเป็นแบบ "ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งเซ่อ" นะครับ

No comments: