Monday, December 28, 2009

เกมใครจุ๊บเป็นคนสุดท้ายชนะ และอย่าแหย่เสือหลับ

วันนี้พาน้องๆที่ทำงานไปกินข้าวกันที่ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ได้พาลูกๆสามคนมาด้วยเพราะไม่ต้องไปโรงเรียน ได้โอกาสเล่นเกม "ใครจุ๊บเป็นคนสุดท้ายชนะ" ซึ่งเป็นเกมที่เหมาะกับคนที่ลูกไม่ค่อยรักและไม่ยอมจุ๊บนะครับ:



เมื่อวันเสาร์มีงานเลี้ยงปีใหม่ที่โรงเรียนศิลปะแหลมคม (google it!) ลูกๆไปกันหมดทั้งสามคน ตอนกลับบ้านธัชธีญามีสภาพอย่างนี้:

Sunday, December 27, 2009

Interesting Warnings About Power Law Distributions

I've wondered about some data that might be distributed according to a certain power law and I found these two links to be informative: So You Think You Have a Power Law — Well Isn't That Special? and Power-law distributions in empirical data.

The abstract of the paper in the second link reads:

Power-law distributions occur in many situations of scientific interest and have significant consequences for our understanding of natural and man-made phenomena. Unfortunately, the detection and characterization of power laws is complicated by the large fluctuations that occur in the tail of the distribution -- the part of the distribution representing large but rare events -- and by the difficulty of identifying the range over which power-law behavior holds. Commonly used methods for analyzing power-law data, such as least-squares fitting, can produce substantially inaccurate estimates of parameters for power-law distributions, and even in cases where such methods return accurate answers they are still unsatisfactory because they give no indication of whether the data obey a power law at all. Here we present a principled statistical framework for discerning and quantifying power-law behavior in empirical data. Our approach combines maximum-likelihood fitting methods with goodness-of-fit tests based on the Kolmogorov-Smirnov statistic and likelihood ratios. We evaluate the effectiveness of the approach with tests on synthetic data and give critical comparisons to previous approaches. We also apply the proposed methods to twenty-four real-world data sets from a range of different disciplines, each of which has been conjectured to follow a power-law distribution. In some cases we find these conjectures to be consistent with the data while in others the power law is ruled out.

Wednesday, December 23, 2009

กระทู้น่าสนใจที่ส่งคนมา Atriumtech.com เดือนนี้

ผมเข้าไปดู log ว่าคนที่เข้ามาที่ Atriumtech.com มาจากที่ไหนเลยไปเจอกระทู้น่าสนใจสองอันครับ

อันแรกคือ "10 สุดยอดกระทู้ห้องกล้องปี 2009" มีอะไรที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพและการหลอกลวงน่าสนใจดีครับ

อีกอันคือ "เราจะดูกระทู้แรกของพันทิปได้อย่างไร" ที่มีคำอธิบายการใช้ search ของ Atriumtech ที่เก็บกระทู้เก่าๆของพันทิปไว้

Monday, December 21, 2009

Update ลิงค์ครอบครัว

ตอนนี้คุณอ้อไม่ได้ update รูปภาพที่ Tabblo แล้วนะครับ เธอบอกว่าใช้เวลานานมากกว่าจะเสร็จแต่ละอัน ตอนนี้เลยไปเปิด blog และ album ที่ Multiply.com ที่ใช้ได้ง่ายและเร็วกว่าแทน เข้าไปดูได้ที่ http://mamaaor.multiply.com/ ครับ

ผมพึ่งอัพโหลดวิดีโอที่ YouTube เสร็จอีกสองอัน อันแรกคือการฝึกเด็กๆให้เป็น Ninja Turtles อีกอันคือคลิปที่ธีธัชสร้างโทรศัพท์เป็นของขวัญวันเกิดแม่





Monday, December 14, 2009

พล็อตห่วย หรือ มันเห็นคนไทยเป็นควายหรือไง

สืบเนื่องจากข่าวเขมรอภัยโทษวิศวกรไทยนะครับ

ผมชอบความเห็นที่ 253 โดยคุณ คนนะโว้ยไม่ใช่ควายแดง เป็นพิเศษ จึงขอบันทึกไว้ให้อยู่นานๆ:

คำถามที่ต้องใช้สมองคิดก่อนตอบ

1. ถ้าคุณเป็นพ่อหรือแม่แล้วลูกโดนจับเข้าคุก คุณจะทำอย่างไรกับลูกที่ต้องติดคุกอยู่ต่างประเทศ
ก. ยื่นขอประกันตัว หรือ ข. ปล่อยให้ติดคุกเขมรไม่ขอประกันตัว

2. ถ้าลูกคุณโดนศาลชั้นต้นตัดสินว่าผิดข้อหาจารกรรมข้อมูลลับ เป็นภัยต่อความมั่นคง และต้องติดคุก คุณจะทำอย่างไร
ก. ยื่นขออุทรณ์เพื่อต่อสู้ในความบริสุทธิ์ หรือ ข. ไม่อุทรณ์ ยอมรับว่าทำผิดตามนั้นจริง

3. หรือถึงแม้ว่าถ้าคุณเป็นสมาชิกแก๊งค์โจรหรืขอทานเลวๆอยู่สักแก๊งค์หนึ่งหนึ่ง คุณจะ...
ก. ด่าคนที่คิดร้ายกับหัวหน้าแก๊งค์และจัดการกับมันอย่างสาสม หรือ ข. พยายามช่วยเหลือคนที่คิดร้ายนั้นอย่างเต็มที่ในทุกๆทาง

4. ถ้าคุณเป็นผู้นำแบบชั่วๆโฉดๆของเขมร คุณจะ...
ก. จัดการขั้นเด็ดขาดกับคนที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศจริง หรือ ข. ยกโทษให้มันง่ายๆแล้วปล่อยให้มันไปทำงานอย่างเดิมต่อเถอะ

5. ถ้าคุณเป็นผู้นำประเทศ คุณจะ..... กับบุคคลที่โดนตัดสินว่าภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ก. ประหารชีวิตหรือให้รับโทษขั้นสูงสุด หรือ ข. ให้เกียรติและให้การรับรองประดุจดาราตุ๊กตาทองหรือแขกวีไอพีของประเทศ

ถ้าคุณตอบข้อ ก.ทั้งหมด แสดงว่าคุณน่าจะเป็นคนที่มีความคิดและมีการศึกษา รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร และ ละครตลกน้ำเน่าสำหรับคนโง่เป็นอย่างไร
แต่ถ้าคุณตอบข้อ ข. แม้เพียงข้อเดียว ผมว่าคุณคิดไม่เป็นเลยหรือไม่คุณก็มีสมองเพียงไว้กั้นหู2ข้างของคุณไม่ให้มันติดกันเท่านั้นเอง

สำหรับผู้ไม่ได้ติดตามข่าวแต่ต้นนะครับ มาดูว่าใครเลือกข้อ ข. กันบ้าง:

ข้อ 1 แม่วิศวกรทำข้อ ข.
ข้อ 2 แม่วิศวกรทำข้อ ข.
ข้อ 3 สมาชิกแก็งค์พรรคเพื่อไทยทำข้อ ข.
ข้อ 4 ฮุนเซนทำข้อ ข.
ข้อ 5 ฮุนเซนทำข้อ ข.

Friday, December 11, 2009

ของน่าสนใจทำด้วยไม้


บังเอิญไปพบเว็บ Woodworking for engineers มีโปรเจ็คทำด้วยไม้ที่น่าสนใจหลายอันเช่น หน้าไม้ ลูกสูบไม้ และ เครื่องบวกเลขฐานสองทำจากไม้ เลยอยากบันทึกไว้เผื่อได้ทำเล่นกับลูกๆ ในอนาคต

ปู่ผมเป็นชาวนาและช่างไม้ที่เก่งขนาดสร้างบ้านและต่อเรือได้ด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่ผมไม่ได้มีโอกาสฝีกงานกับท่านเลย พอแก่ตัวลงอยากหัดทำบ้าง

Wednesday, December 02, 2009

One of the Greatest Physicists Might Have Been Autistic

Paul Adrien Maurice Dirac was the great physicist who started the unification of special relativity with quantum mechanics and predicted the existence of anti-electrons or positrons. His name is also attached to the Fermi-Dirac statistics which describes how particles behave. He's one of the gods of physics.

He's also well known (among physicists) for his precise and laconic utterance along with his exceedingly literal interpretation of others' sentences*. I just found out that there's a new biography of Dirac that claims that he was autistics. NPR has an interview of the author and there's an article about autism screening related to Dirac.

For many amusing anecdotes about the man, see this page.

--- - ---- - ----- ---------
* For example (taken from the last link above), here is typical Dirac interaction:

When Paul Dirac made a rare error in an equation on the blackboard during a lecture one day, a couragous student raised his hand: "Professor Dirac," he declared, "I do not understand equation 2."

When Dirac continued writing, the student, assuming that he had not been heard, raised his hand again and repeated his remark. Again Dirac merely continued writing...

"Professor Dirac," another student finally interjected, "that man is asking a question." "Oh?" Dirac replied. "I thought he was making a statement."

Wednesday, November 25, 2009

An Inappropriate Interpretation Of A Heart-Rending Poem

Someone pointed me to a very sad poem by W.H. Auden today. I first heard it in the movie Four Weddings and a Funeral. However, I just realized that for "He was my North, my South, my East and West" to be true, one of the lovers must be at the north pole and the other must be at the south pole.

Also, the dead lover seems to exhibit superposed quality of space, time, information, and matter. (See the highlighted part of the full poem below.)

The full poem is this:

Stop all the clocks, cut off the telephone,
Prevent the dog from barking with a juicy bone,
Silence the pianos and with muffled drum
Bring out the coffin, let the mourners come.

Let aeroplanes circle moaning overhead
Scribbling on the sky the message He Is Dead,
Put crepe bows round the white necks of the public doves,
Let the traffic policemen wear black cotton gloves.

He was my North, my South, my East and West,
My working week and my Sunday rest,
My noon, my midnight, my talk, my song;
I thought that love would last for ever: I was wrong.

The stars are not wanted now: put out every one;
Pack up the moon and dismantle the sun;
Pour away the ocean and sweep up the wood.
For nothing now can ever come to any good.

If you recite it in an appropriate way, you can summon tears to your eyes.

Tuesday, November 24, 2009

One Down, Quite A Few To Go

“สมัคร สุนทรเวช” ถึงแก่อนิจกรรม

พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

--สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส

ผมคิดว่า คดีคอรัปชั่นโกงส่วนรวมต้องไม่มีอายุความ และแม้ตัวจะตายไปแล้ว ทายาทก็ต้องรับผิดชอบนะครับ

ให้อภัยกันพรำ่เพรื่อทำให้ต้นทุนคอรัปชั่นตำ่ไป เลยมีคนทำกันเกลื่อนเมือง บางคนก็คิดสะสมให้ทายาทอีก ส่วนรวมเลยโดนเอาเปรียบมหาศาล

Wednesday, November 18, 2009

ตรรกศาสตร์ประยุกต์

ผมอ่านข่าวว่าผบ.ทบ. ออกมาบอกว่าไม่มีคนในกองทัพเกี่ยวข้องกับการยิงระเบิดใส่การชุมนุมของประชาชนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ที่สนามหลวง ใจผมก็คิดไปเลยว่า "รู้ได้ไงว้า" จากนั้นอีกครึ่งนาที ผมก็คิดว่าข้อความเหล่านี้ต้องเป็นจริงหนึ่งข้อความ:

1. ผบ.ทบ. พูดความจริง และทราบว่าใครบ้างเกี่ยวข้องกับการยิงระเบิด และไม่มีใครในกลุ่มนั้นเกี่ยวข้องกับกองทัพ

2. ผบ.ทบ. พูดความจริง และได้ตรวจสอบทุกๆคนในกองทัพ และไม่มีใครเกี่ยวข้องกับการยิงระเบิด

3. ผบ.ทบ. ไม่ได้พูดความจริง

โอกาสที่ข้อ 2 จะเป็นจริงน่าจะน้อยกว่าข้ออื่นๆมาก เพราะเวลาผ่านมาไม่กี่วัน และมีคนในกองทัพประมาณสามแสนคน ไม่น่ามีเวลาตรวจสอบ ดังนั้นไม่ข้อ 1 ก็ข้อ 3 น่าจะเป็นจริง

เห็นด้วยไหมครับ มีทางเลือกอื่นๆที่เป็นไปได้อีกไหม

Monday, November 16, 2009

ธัญญา: เทพธิดาพยากรณ์


วันนี้คุณปองเจ้าของร้านกาแฟใกล้โรงเรียนอนุบาลบ้านพลอยภูมิมาขอให้ธัญญา (ลูกสาวคนเล็กของผม อายุ 2 ขวบ) ใบ้หวยให้

คุณปองถามว่าน้องนับได้หรือยัง พอผมบอกว่ายังไม่ได้ คุณปองก็เอาโทรศัพท์มือถึอส่งให้ บอกว่าให้กดสองปุ่ม

ธัญญากด "85" แล้วคุณปองก็เอาโทรศัพท์คืนไป บอกว่าถ้าหาเจอจะซื้อ ไม่รู้คุณปองซื้อหรือเปล่า

ตอนกลางวันกินข้าว ผมกับภรรยาก็เล่าให้น้องๆที่ที่ทำงานฟัง

พอตอนบ่าย น้องเติ้งที่ทำงานก็บอกผมว่า ธัญญาใบ้หวยเก่ง เลขท้ายสองตัวออก "58" ผมได้ทีก็เลยโม้ใหญ่ว่า เนี่ยถ้าฟังธัญญาแล้วซื้อหวยต้องรวยแน่ๆ พี่นี (พี่เลี้ยงธัญญา) ก็บอกว่าไม่บอกเขาก่อน ไม่งั้นเขาคงจะซื้อทั้ง 85 และ 58 และคงจะถูกแล้ว

ไว้ใกล้ๆงวดหน้าจะให้ธัญญามาใบ้ใหม่นะครับ

ปล.

1. เวลาผ่านไปสักพัก พี่นีก็เข้าถึงสัจธรรมว่า "เออเนอะ เวลาใบ้ผิดก็ไม่เคยพูดถึง"

2. ภาพประกอบคือธัญญาพยายามทานโกโก็เย็น(ที่ดูดมาจากแก้วของแม่)ที่ติดอยู่ตามหน้าให้เกลี้ยงเกลา

3. ความน่าจะเป็นที่จะใบ้เลขสองตัวให้ถูกเป๊ะ = 1/100 ความน่าจะเป็นที่จะใบ้สองตัวแต่ไม่แคร์ว่าตัวเลขจะสลับไหม = 1/50

4. มีคนบอกว่าการซื้อหวย เป็นภาษีของคนที่ไม่เก่งเลข แต่ความเห็นของผมก็คือมันคือความบันเทิงรูปแบบหนึ่งที่คนเอาเงินไปแลกกับความตื่นเต้นเล็กๆน้อยๆ ถ้าไม่บ้าเล่นจนหมดตัวก็น่าจะไม่เลวร้ายไปกว่าความบันเทิงหลายๆอย่าง เช่น ละครหลังข่าว เหล้า บุหรี่ (อืมอบายมุขทั้งนั้นเลยนี่หว่า)

5. ผมซื้อหวยไม่น่าจะเกินสิบครั้งในชีวิต ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้คนที่มาขอให้ผมใบ้หวยให้ และจะได้หัวเราะเวลาทุกคนถูกกิน (แต่ผมเคยใบ้ถูกหนึ่งครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ)

6. ผมเคยเขียนเกี่ยวกับหวยไว้ในอดีตบ้างในลิงค์เหล่านี้

บทความแนะนำ (อีกแล้ว): “พระยาละแวก” และ “ออกญาจักรี”กับปัญหาการเมืองปัจจุบัน

อาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทองเขียนไว้ที่นี่ครับ

Excerpt:

น่าคิดว่า... ในอดีตนั้น สมเด็จฮุนเซนได้อาศัยราชอาณาจักรไทยที่ให้ความช่วยเหลือเอาไว้มาก แต่ไฉนกลับไปตอบแทนเป็นเรื่องส่วนตัวให้กับทักษิณ

ขณะเดียวกัน ทักษิณเองได้ร่ำรวยส่วนตัวและมีอำนาจ ก็โดยอาศัยสัมปทานสมบัติของแผ่นดินไทยส่วนรวม แต่ไฉนกลับไปสมคบคิดหาผลประโยชน์ส่วนตัวกับฮุนเซน ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประโยชน์ของชาติไทยส่วนรวม ถึงขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กัมพูชา ทั้งๆ ที่ ตนเองล่วงรู้ความลับความมั่นคงของชาติจากการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และก็รู้จุดอ่อน-จุดแข็ง ในการเจรจาเขตแดนและผลประโยชน์มหาศาลระหว่างไทยและกัมพูชามาก่อน เท่ากับเป็นการนำความมั่นคงของชาติไปอยู่ในจุดที่ล่อแหลม

จะแตกต่างอย่างไรกับ “ไส้ศึก” ?

น่าคิดว่า.. จุดจบของคนอย่าง “ออกญาจักรี” และ “พระยาละแวก” ในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงพอที่จะเป็นบทเรียนเตือนสติ หรือเป็นแนวทางสอนใจให้กับผู้ใด บ้างเลยหรือ?

Monday, November 09, 2009

พี่น้องคนไทยเสื้อแดงตื่นได้หรือยัง

เช้าวันนี้มีคนส่งลิงค์ให้อ่านบทสัมภาษณ์นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ที่ให้ไว้กับหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษ บทสัมภาษณ์ชื่อว่า "Ousted Thai leader Thaksin Shinawatra calls for ‘shining’ new age after King’s death" ผมอ่านสองรอบ แล้วอ่าน transcript เต็มอีกครั้ง และก็เห็นว่าไอ้เดนคนนี้มันจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างให้อภัยไม่ได้ ผมอยากให้ฝูงชนที่สนับสนุนนายคนนี้ได้ข้อมูลนี้และเลือกกันไปเลยว่าจะยังบูชามันอยู่หรือเปล่า

นักโทษชายคนนี้พูดถึง rule of law, democracy และการถูกกลั่นแกล้ง แต่มันไม่เคยดูตัวเองเลยว่ามันนั่นแหละที่ทำลาย rule of law และ democracy การซื้อเสียงและใช้กลโกงจ้างพรรคมาฮั้วกันเพื่อมาเป็นเสียงข้างมากนั้นมันเป็นการปล้นประชาธิปไตยอย่างน่าอายที่สุด จะพูดถึง rule of law พอมันถูกตัดสินจำคุกเพราะผลประโยชน์ทับซ้อน มันก็แก้ตัวแบบข้างๆคูๆแบบเด็กสิบขวบ แล้วหนีไปต่างประเทศ

มันเป็น Thailand's No. 1 Public Enemy และอริราชศัตรูครับ

Tuesday, October 20, 2009

How Adsense Was Born

I stumbled on this interesting account of how Google's ubiquitous Adsense (the ads from Google that you see everywhere) was born. Humans are not smart enough to predict most things, so one way to see if anything works is to actually make a prototype and see.

Monday, October 19, 2009

เรื่องผีๆ: เจอดีที่เขาใหญ่

ผมกลัวผีครับ

ผมค่อนข้างแน่ใจมากๆว่าไม่มีผีจริงๆหรอก (ถ้าจะให้พนันคงจะต่อสัก 1000:1 ว่าไม่มี) แต่สมองส่วนขี้กลัวถูกโปรแกรมตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆว่าให้กลัวผี ดังนั้นเวลาดูหนังผีจะรู้สึกเสียวสันหลังและขนลุกที่ต้นคอถ้าหนังทำบรรยากาศน่ากลัว (ผมเคืองหนังเรื่อง The Sixth Sense มากกว่าหนังผีอื่นๆ ที่ดันบอกว่าเวลามีผีอยู่ด้วยในห้อง ห้องจะเย็นและเราจะขนหัวลุก ทำให้กลัวไปกันใหญ่)

ผมมีสมมุติฐานว่าคนที่บอกว่าเคยเห็นผีน่าจะเป็นเพราะภาพลวงตา หรือเสียงลวงหูหรือสมองลวงตัวเอง เพราะว่าใจพยายามอธิบายข้อมูลแปลกๆว่าเกิดจากผี ไม่ใช่เพราะสมอง ตา หู ทำงานผิดพลาดหรือเกิดจากปรากฎการณ์ธรรมชาติอื่นๆที่เราไม่รู้ ดังนั้นคนกลัวผีจึงมีโอกาสเจอ "ผี" มากกว่าคนไม่กลัวผี เนื่องจากผมอยากรู้ให้แน่ใจว่าผีมีหรือเปล่า ดังนั้นเวลาผมเจอเงาแปลกๆ หรือเสียงแปลกๆผมจึงพยายามหาว่าต้นตอเกิดจากอะไร และยังไม่เคยพบผีสักที

ทุกครั้งที่ผมไปเขาใหญ่ผมจะเห็นคนจุดธูปบูชาศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ผมจึงฝากในใจว่าถ้ามีผีในป่าขอให้มาปรากฎให้ผมเห็นชัดๆด้วย เพราะมีคนบอกว่ามีผีในป่าเยอะ แม้ว่าผมจะกลัวผีมาก แต่ผมอยากรู้อยากเห็นมากกว่า และดูจากอัตราการตายของประชากร คิดว่าการตายจากการถูกผีหลอกไม่น่าจะอันตรายนัก เพราะอัตราการตายต่ำกว่าจมน้ำ ฟ้าผ่า หรือเป็นโรคอ้วน คิดชั่งใจดูแล้วตัดสินใจว่า ถึงจะกลัวสุดขีดแต่รอดตายและรู้แน่นอนว่ามีผีจริงๆ น่าจะคุ้ม

วันเสาร์ที่ผ่านมาผมขึ้นไปเขาใหญ่กับภรรยาและธัชธีญา เพื่อไปรับธีธัชที่ไปแคมป์กับโรงเรียนบ้านพลอยภูมิในอาทิตย์ที่ผ่านมา จะค้างหนึ่งคืนและกลับในวันอาทิตย์ คราวนี้ก็เช่นเคย อธิษฐานเวลาผ่านศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่่ว่าถ้ามีผีจริงขอให้แสดงตัวให้ผมรู้ด้วย คราวนี้ผมจะต้องนอนคนเดียวในห้องพัก เพราะตอนแรกจองห้องไว้ให้แม่และน้องของภรรยา แต่แผนเปลี่ยนห้องเลยว่าง และลูกๆและภรรยาจะนอนด้วยกันที่ห้องรวมของโรงเรียนและผมต้องแยกไปนอนที่ห้องว่างนั้น ผมคิดว่าเวลาอยู่คนเดียว ถ้าผีมีจริงน่าจะมาเยี่ยมง่ายขึ้น (ซึ่งผมก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเองเพราะผมย่อมไม่รู้นิสัยของผี แต่สังเกตว่าคนที่เล่าว่าเจอผี มักจะอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่ในกลุ่มใหญ่)

หลังจากกิจกรรมวันเสาร์เสร็จสิ้นแล้ว ผมก็ลาภรรยาและลูกๆแล้วขับรถไปยังห้อง แปรงฟันเสร็จก็เปิดคอมพิวเตอร์ดู Monsters vs. Aliens จนจบและเริ่มนอนเมื่อเกือบ 4 ทุ่มเพราะต้องตื่นตีห้า

ตอนกลางดึก(มารู้ทีหลังว่าเกือบตีสอง)ก็เกิดเรื่อง ผมเริ่มฝันว่ามีอะไรที่มองไม่เห็นมาหยิกแขนซ้ายให้เจ็บยิบๆๆ เจ็บตั้งแต่มือไปจนถึงข้อศอก เจ็บจนทนไม่ไหวผมก็ตื่นขึ้นมา แขนก็ยังไม่หายเจ็บ ผมคิดว่าเอาละเว้ย เจอผีแหงๆ รีบเปิดไฟดูทันที

ผมเห็นตัวการชัดเจนเลยครับ เรียงอยู่กันเป็นแถวข้างเตียงเลย มดดำตัวเล็กๆครับ พากันเดินข้ามเตียงผมไปยังอีกฟาก แถวมดบางส่วนยังอยู่บนแขนซ้ายผม และบางตัวก็กำลังกัดผมอย่างเมามัน ผมโมโหเลยปัดตายไปหลายตัว มาคิดทีหลังว่าไม่น่าไปทำเขาเลย เรามาอยู่ในบ้านเขาแท้ๆ แถมไปทำเขาตายอีก เหมือนเราเป็น Aliens มาบุกโลกมดยังไงยังงั้น

โอเค สรุปผลการทดลอง: คราวนี้ยังไม่พบว่ามีผีนะครับ แสดงว่า:
  1. ผีอาจมีจริงแต่เราเรียกเขาไม่ถูกวิธี อาจจะใช้วิธีคิดในใจไม่ได้ หรือไปบอกคนผิดเช่นเจ้าพ่อศาลเขาใหญ่ไม่มีหน้าที่ไปเรียกผีให้เราดู หรือ
  2. ผีอาจมีจริงแต่เขายุ่งเลยไม่รู้่ว่าจะมาเจอเราทำไม หรือ
  3. ผีอาจมีจริง รู้ว่าเราอยากพบ แต่เดินทางมาหาไม่ทัน หรือ
  4. ผีอาจมีจริง แต่ไม่มาเจอกับเราเนื่องจากสาเหตุอื่นๆ หรือ
  5. ผีไม่มีจริง
ผมก็คงความเชื่อว่าไม่น่าจะมีผีต่อไป แต่อัตราส่วนต่อรองเพิ่มขึ้นอีกนิด (จาก 1000:1 เป็น 1000+ : 1) ตามหลักการ Bayesian Inference เปี๊ยบ (ผมเคยพูดถึงไว้ในอดีตครับ) แต่ผมก็กลัวผีแบบไม่มีเหตุผลเหมือนเดิม (ผมกลัวอะไรแบบไม่มีเหตุผลหลายอย่างครับ เช่นกลัวฉลามในสระว่ายน้ำเพราะไปดู Jaws ตอนเด็กๆ หรือกลัวจิ้งจกมากกว่ากลัวงูเพราะเคยจับจิ้งจกตอนเด็กๆแล้วหางเขาหลุดติดมือ เป็นต้น)

ถ้าใครมีหลักฐานแน่นหนา น่าเชื่อว่ามีผีจริงๆกรุณาบอกผมด้วยนะครับ ถ้าผีมีจริงจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเพราะว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกเรื่องเบ้อเริ่มเลย มี Nobel Prizes หลายอันในการศึกษาแน่ ผมชอบสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งแปลกยิ่งดี แต่ต้องมีหลักฐานดีๆนะครับ พวกหลอกลวงชาวบ้าน หรือคิดเป็นตุเป็นตะไปเองแล้วโมเมเอา ไม่น่าสนใจ ผมคิดว่าคนที่ชอบบอกคนอื่นๆว่า "ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่" ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมนะครับ เพราะเป็นตัวแพร่ความงมงายในหมู่คนวงกว้างต่อไป ถ้าเราไม่รู้เรื่องอะไรหรือไม่เชื่อเรื่องอะไร ถ้าเราสนใจเราควรจะคิดหาทางตรวจสอบว่าความจริงเป็นอย่างไรนะครับ ลูกหลานในอนาคตจะได้รู้มากกว่าพวกเรา

เท่าที่เห็นข้อมูลสนับสนุนที่ผ่านมา ผมยังไม่เชื่อว่ามี ผี ไดโนเสาร์(ไม่รวมนก)ที่ยังมีชีวิตอยู่ มนุษย์ต่างดาวเยือนโลก Bigfoot หมอดูที่รู้อนาคต ผู้วิเศษอย่าง Harry Potter ฯลฯ นะครับ แม้ว่าในใจผม ผมอยากจะให้สิ่งเหล่านี้มีจริงๆก็ตาม เพราะถ้ามีจริง ก็แสดงว่าธรรมชาติยิ่งแปลกประหลาดกว่าที่เราคิดอีกเยอะ :-D

ปล.

1. เสียงสัตว์แปลกๆที่เราไม่คุ้นเคยในป่ามีมากมายครับ ถ้าเสียงน่ากลัวอาจทำให้เราคิดว่าเป็นผีก็ได้

2. มีนักวิทยาศาสตร์คิดว่าในสถานที่ในอังกฤษที่ว่ากันว่าผีดุนั้น สามารถอธิบายได้จากการที่มีเสียงความถี่ต่ำกว่าที่เราได้ยิน (infrasound) ทำให้เรารู้สึกอึดอัด รู้สึกว่ามี "อะไร" บางอย่างอยู่รอบๆครับ นักวิทย์เหล่านี้สามารถเปิดและปิดความรู้สึกผีหลอกด้วยการเปิดปิดลำโพงที่ส่งเสียง infrasound ด้วยครับ

3. ถ้าท่านชอบเรื่องราวทำนองวิทยาศาสตร์ผมมี blog posts หลายอันเหมือนกันครับ

Thursday, October 15, 2009

I Learned Something New Today: Automatic Differentiation


After 28 years of (amateurishly and rather clumsily) programming computers and 25 years of using calculus, I just found out about a method to calculate numerical derivatives exactly (up to numerical accuracy.)

I knew how to do numerical differentiation based on approximating derivatives with finite differences which incurs inexactness due to truncating infinite series, but I never thought about how to get exact numerical results. Luckily someone else did, and we got the automatic differentiation technique.

Tuesday, October 13, 2009

A Research I Really Want To Be True

Someone pointed this research summary to me. It says that if we restrict our food to 20-50% of normal calories on one day and we eat till we are full the next day, we gain a lot of health benefits.

The excerpt:

"Since May 2003 we have experimented with alternate day calorie restriction, one day consuming 20-50% of estimated daily caloric requirement and the next day ad lib eating, and have observed health benefits starting in as little as two weeks, in insulin resistance, asthma, seasonal allergies, infectious diseases of viral, bacterial and fungal origin (viral URI, recurrent bacterial tonsillitis, chronic sinusitis, periodontal disease), autoimmune disorder (rheumatoid arthritis), osteoarthritis, symptoms due to CNS inflammatory lesions (Tourette's, Meniere's) cardiac arrhythmias (PVCs, atrial fibrillation), menopause related hot flashes."

If this is true, I will starve one day and go to a buffet the next day and live longer! I'm sure that after the one starving day, the food at the buffet will taste even better :-D

Monday, October 05, 2009

ฮีโร่ของผม: วีระ สมความคิด

วันนี้พบบทความเกี่ยวกับคุณวีระ สมความคิด ประชาชนคนธรรมดาที่ทำหน้าที่ต่อสู้คอรัปชันดีกว่าพวกเฮงซวยในสภาอย่างมากมาย เลยมาบันทึกไว้เผื่อจะมีคนเข้าไปอ่านและเข้าใจเขามากขึ้น


Saturday, October 03, 2009

สังฆราช = ?

มีข่าวทำบุญวันเกิดพระสังฆราชครบรอบ 96 ปีบนทีวี (จริงๆแล้วคำศัพท์ที่ถูกต้องควรจะเป็น วันคล้ายวันประสูติในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกครบ 96 พรรษา แต่ลูกผมได้ยินว่าข่าวเกี่ยวกับสังฆราชแล้วถาม ผมจึงใช้คำที่เด็กๆเข้าใจ)

ธีธัช: สังฆราชคืออะไรครับ
พ่อโก้: พระสังฆราชคือพระตำแหน่งสูงสุดในประเทศไทย
ธีธัช: (ทำหน้างงๆ)
พ่อโก้: พระสังฆราชเป็นหัวหน้าของพระไงล่ะ
ธีธัช: (ทำหน้างงๆ)
อากิ๊ก: พระสังฆราชมีสมณศักดิ์สูงที่สุด
ธีธัช: (ทำหน้างงๆ)
พ่อโก้: ถ้าเจไดคือพระ โยด้าคือพระสังฆราช
ธีธัช: อ๋อ

แต่วิกิพีเดียว่าไว้อย่างนี้นะครับ

ปล. ธีธัชอายุ 6 ขวบแต่ดู Star Wars ครบ 6 Episodes แล้ว แถมยังจำตัว Nute Gunray กับ Rune Haako ที่พ่อโก้จำไม่ได้ (แต่เคยเล่าให้ฟังจากหนังสือ Star Wars Encyclopedia) พ่อโก้ไม่รู้ว่าจะห่วงหรือภูมิใจดี

There Might Be A Female Monk From My Family


Tatia likes to dress up as a monk. Aor documented this in her newest Tabblo.

I've been telling my kids that they should not pay respect to people dressing up in yellow monk robes automatically because there are quite a few people who earn money by pretending to be monks. When they are a bit older, I will tell them the generalization that we shouldn't pay respect to people with impressive titles or positions automatically either.

Tuesday, September 29, 2009

คุณว่าถ้านายสมัคร สุนทรเวช และนายนพดล ปัทมะมีชีวิตในสมัยสมเด็จพระนเรศวร พวกเขาจะถูกกุดหัวแล้วหรือยัง?

ผมเคยเขียนถึงนายนพดล ปัทมะ (นพดล ปัทมะ: มันโง่หรือมันเลว) และนายสมัคร สุนทรเวช (ไปไหนมาสามวาสองศอก, What's Going On In Thailand?, Thailand's Puppet Prime Minister?) มาแล้วในบล็อกนี้

วันนี้เป็นวันที่ 448 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ารัฐบาลที่มีนายสมัครเป็นนายก และนายนพดลเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ทำผิดรัฐธรรมนูญ เพราะไปลงนามยกประโยชน์ส่วนรวมของประเทศให้กับต่างชาติ โดยหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยสภาและประชาชน

วันนี้ป.ป. ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ชึ้มูลความผิดนายสมัครและนายนพดลให้ทำการถอดถอนและดำเนินคดีอาญาแล้วครับ (ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะถอดถอนอย่างไร เพราะมันทั้งสองก็หลุดจากตำแหน่งไปแล้ว หวังแต่ว่าศาลจะตัดสินลงโทษก่อนพวกมันป่วยตาย ให้จารึกเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลนะครับ)

พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์คงมีคำแถลงของป.ป.ช.เต็มๆ ตอนนี้มีแค่ข่าวสั้นๆอันนี้ ผมตัดบางส่วนมาให้ดู:

“และยังมีพยานหลักฐานแสดงว่านายนพดลมีมูลเหตุจูงใจอื่นแอบแฝงอยู่ ว่าจะให้ฝ่ายบริหารดำเนินการได้โดยปราศจากการตรวจสอบของรัฐสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่านายนพดลรู้อยู่แล้วถึงความเสียหายที่เกิดจากสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย และผลกระทบทางสังคมที่จะเกิดขึ้นจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีเจ้าหน้าที่ชี้ให้เห็นถึงผลเสียเรื่องนี้แต่นายนพดลไม่ฟัง จึงมีการวิพากษ์กันอย่างกว้างขวางโดยนักวิชาการ นักการเมือง ตลอดจนสื่อมวลชน แต่คำวิพากษ์ดังกล่าวกลับถูกนายนพดลตอบโต้อย่างรุนแรง”

“จากสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทยและผลกระทบทางสังคมของการลงนามในร่างคำแถลงการณ์ร่วมตลอดจนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงนามดังกล่าวทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า นายนพดลกระทำไปโดยรู้อยู่แล้วเป็นอย่างดีในความเสียหายดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงถือว่าในการปฏิบัติหน้าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของนายนพดล กระทำไปเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยและคนไทยทุกคน นายนพลดจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157”

"ส่วนกรณีของนายสมัคร ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ต้องทราบดีถึงความอ่อนไหวของประเด็นซึ่งจะทำให้เกิดสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตและวิกฤตการณ์ทางสังคม อนึ่ง นายสมัครยังเป็นฝ่ายขอให้นายนพดลดำเนินการเพื่อช่วยเหลือนายฮุน เซ็น ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ค.2551 ซึ่งการนำผลประโยชน์ของประเทศชาติมาใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงของพรรคการเมืองต่างประเทศอย่างนี้ หากมองถึงสถานะของนายสมัครที่ได้รับความไว้พระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว เห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่จะมีนักการเมืองไทยคนใดจะมีความคิดเช่นนี้ นายสมัครจึงมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับนายนพดล โดยให้ถอดถอนบุคคลทั้ง 2 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ด้วย"

Monday, September 28, 2009

Aor's Two Tabblos About Khao Yai Trip

Aor took more than 1,700 pictures at the most recent (September 4-6) Khao Yai trip arranged by Bann Ploypoom kindergarten. She chose a few for these two Tabblos: Part I here and Part II here. All of us love the trip.

Friday, September 25, 2009

How To Waste Hours In 3 Easy Steps


1. Go to http://picasa.google.com/ and download Picasa 3.5 (not the 3.0 or 3.1 version.)
2. Tell Picasa to recognize people's faces in your collection of photographs.
3. When Picasa is not sure about a face, it will ask you whether a face belongs to someone. This is where you will spend hours. Very addictive.

P.S.

1. I know that iPhoto '09 already has this feature, but I switched to Picasa 3 many months ago because iPhoto '08 was gobbling up my disk space. Whenever I made a small adjustment (like straighten, lighten, etc.), iPhoto created a copy of the original. Soon, I was running out of disk to store my photographs. Picasa is more forgiving in this regard since it only stores the commands that I want to apply to the original pictures, not copies of the pictures. Also, I didn't buy iLife '09 (in which iPhoto '09 can be found) either.

2. Picasa runs on Mac and Windows. Within 2 hours of installing it on my Mac, I told my wife and she got it running on her Windows machine. Since then, both of us have been classifying unknown faces like crazy.

3. Titus had a lot of fun clicking faces to help Picasa.

Tuesday, September 22, 2009

Cannot Send Emails For Destinations Further Than 500 Miles

Here is a curious story of an email problem. It turned out that email destinations further than about 500 miles could not be reached. See if you can guess why it occurred after reading the first half of the story.

Living with slow Internet connections most of my online life and wrote some buggy programs to send emails in the past, I knew the cause right away :-D

Monday, September 21, 2009

Google รู้ลึก

ผมชอบดูโฆษณาครับ เปิดหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและหนังสือพิมพ์ต่างๆเพื่อดูโฆษณาเป็นหลัก เวลาเข้าเว็บที่ไหนผมก็ชอบดูว่ามีโฆษณาอะไรบนเว็บเหล่านั้นบ้าง (แต่ผมไม่ชอบโฆษณาที่เป็นภาพวิ่งๆ หรือทำจาก Flash นะครับ เพราะรำคาญลูกตา และในกรณี Flash ทำให้คอมพิวเตอร์ผมทำงานหนักขึ้นโดยไม่ได้ขอ เครื่องร้อนเปล่าๆ) ถ้าโฆษณาอันไหนน่าสนใจผมก็กดดู เจ้าของเว็บจะได้รายได้บ้างและผมก็ได้เห็นของน่าสนใจ

เมื่อวันก่อนบังเอิญเข้าไปที่ http://www.google.com/ads/preferences/ ปรากฎว่า Google ได้ทำการติดตามว่าผมชอบดูโฆษณาประเภทไหนเรียบร้อยแล้วโดยดูจากประวัติการเข้าเว็บของผม Google เก่งทีเดียวเพราะว่าหัวข้อประเภทโฆษณาถูกหมดเลย Google บอกว่าการติดตามแบบนี้ดูตาม browser เป็นหลัก ไม่ได้ใช้ชื่อนามสกุลผมเป็นหลัก และการทำอย่างนี้จะทำให้สามารถแสดงโฆษณาที่ผมสนใจได้ดีขึ้น


ถ้าสนใจก็ลองกดลิงค์ดูนะครับว่า Google ติดตามคุณอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่ชอบให้ติดตามก็สามารถกด Opt out เพื่อห้ามติดตามได้ หรือชอบหัวข้ออะไรเป็นพิเศษก็ตั้งค่าเองได้ครับ

Monday, September 14, 2009

สาเหตุหนึ่งที่ไต้หวันเจริญกว่าประเทศไทย: คุกยกครัว


ทำชั่วแล้วโดนลงโทษเร็วไว ไม่ต้องรอชาติหน้า จำเลยหนีไปต่างประเทศไม่ได้ ปลุกระดมผู้คนไม่ได้เพราะศาลไม่ให้ประกันตัว ญาติๆที่ร่วมคอรัปชั่นก็โดนลงโทษด้วย


นายเฉินเนี่ยเคยมีข่าวว่ากุเรื่องตนเองถูกลอบสังหารตอนเลือกตั้งด้วยครับ ปรากฏว่าประชาชนเห็นใจเลยชนะไปหวุดหวิดตอนนั้น ผมไม่เคยเชื่อเลยเพราะมือสังหารปัญญาอ่อนอะไรจะยิงเฉียดๆท้องด้วยกระสุนเล็กๆขนาด .22 (กระสุนเล็กต้องยิงหัว ถ้าจะยิงตัวควรใช้กระสุนใหญ่ๆแรงๆหน่อย) ไอ้มุกควายกุข่าวว่าจะถูกลอบสังหารเนี่ยนักโทษชายทักษิณเขาก็เก่ง แอร์เครื่องบินติดไฟก็บอกว่ามีคนจะฆ่า มีคนเอาระเบิดใส่รถวิ่งไปจอดเปิดท้ายห่างจากบ้านเป็นกิโลก็บอกว่าจะมีคนฆ่า

Friday, September 11, 2009

SaiJai.net ได้ออกรายการล้านพันธมิตร

(ถ้าไม่เห็นวิดีโอกดไปที่ http://www.youtube.com/watch?v=D1VXpa_D234)

รายการล้านพันธมิตรออกอากาศใน ASTV เวลา 17:00 และ 23:00 โดยแต่ละวันจะสัมภาษณ์และนำเสนอธุรกิจของพี่น้องพันธมิตรจากทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคุณจูน คุณแพทและทีมงานแวะเข้ามาเยี่ยมผมที่บริษัท และได้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ SaiJai.net พอวันที่ 18 สิงหาก็ออกอากาศ วันนี้ได้ DVD ของรายการวันนั้นมาเลยเอามาอวดครับ

ผมพล่ามเรื่อง SaiJai.net ในอดีตไว้เยอะเหมือนกันครับ

Wednesday, September 09, 2009

A Mathematical Attack On Copyright

The OFF system is a way to circumvent copyright entirely. It does this by representing any copyright data as a series of meaningless numbers distributed over many computers. Each number does not appear in the original data, but when combined with other meaningless numbers will produce the original data. Weird, but true, and easily understandable once you read the introduction.

The interesting except:

Are these numbers copyrighted? Could they be stored on two separate computers? Would that break the law? What if they were never added together? Would their existence still break the law? What if I give you two other numbers? Again, and again…

It turns out these are not philosophical nor legal questions, but purely mathematical ones. There are two consistent ways to answer the above questions. One leads to the conclusion that “All numbers are already copyrighted.” The other leads to the conclusion that, “There exists encodings of copyrighted numbers that are NOT copyrighted.”

If the first conclusion is true, digital copyright is pointless. If the second is true digital copyright is meaningless.




Monday, August 24, 2009

Useful Unicode Information For Thai Language


I needed to convert a bunch of files saved in a few Unicode encodings and I found the Unicode table for you, Unicode HOWTO (for Python), and Ascii Table MS-DOS Codepage 874 (Thai) pages very useful. I'm writing this down in case someone needs to do similar things for Thai files.

Saturday, August 22, 2009

Applied Linear Algebra: Grouping Related Concepts In Wikipedia With Smart Wiki Search


Smart Wiki Search is a nifty tool that can show you related concepts in Wikipedia when you enter one or more concepts in the search box.

Its operation is described in this algorithm page. If you are not sure how to use it, take a look at the About page.

Sunday, August 16, 2009

Applied Mathematics: Why Human And Zombies Cannot Co-Exist


I found this paper (When Zombies Attack!: Mathematical Modelling of an Outbreak of Zombie Infection) very funny and informative. It's a real mathematical modelling of how a zombie outbreak might occur by viewing it through infectious disease models.

The main points:

An outbreak of zombies infecting humans is likely to be disastrous, unless extremely aggressive tactics are employed against the undead. While aggressive quarantine may eradicate the infection, this is unlikely to happen in practice. A cure would only result in some humans surviving the outbreak, although they will still coexist with zombies. Only sufficiently frequent attacks, with increasing force, will result in eradication, assuming the available resources can be mustered in time.

and

In summary, a zombie outbreak is likely to lead to the collapse of civilisation, unless it is dealt with quickly. While aggressive quarantine may contain the epidemic, or a cure may lead to coexistence of humans and zombies, the most effective way to contain the rise of the undead is to hit hard and hit often. As seen in the movies, it is imperative that zombies are dealt with quickly, or else we are all in a great deal of trouble.

Saturday, August 15, 2009

Novikov Self-Consistency Principle: Why You (Most Likely) Cannot Use A Time Machine To Change The Past

If we have a time machine, is it possible to go back into the past and change it?

That's a question many people have thought about. It turns out that if there's no parallel universes, the Novikov self-consistency principle should hold and that there is no way to change the past. What has happened cannot be undone. Whatever actions from the future are already accounted for in what has happened.

So, the movie The Terminator agrees with this principle: The terminator going back in time created a consistent loop that would create John Connor who would then get into a situation where a terminator must be sent back in time, and in the process would create John Connor, and so on. However the Terminator 2, 3, and 4 movies deal with changing the past/history, so they are less realistic according to this principle.

Novikov gave a short speech about this idea also.

Saturday, August 08, 2009

Applied Evolution

Although human have been directing evolution in other organisms for thousands of years (such as breeding dogs, fruits without seeds, high-yield rice, etc.,) I'm still very impressed to hear that researchers are evolving bacteria to produce more electricity in fuel cells.

Here is the excerpt (MFC = Microbial Fuel Cell = a kind of fuel cell to generate electricity):

"In order to produce electricity, it is imperative that MFC's bacteria conduct electrons to the cathode. The researchers at UMass Amherst realized that there has never been any natural selective pressure that would enhance electronic conduction in bacteria, so they used directed evolution to produce highly conducting bacteria.

G. sulfurreducens bacteria were cultured on a graphite electrode under a 400 mV applied bias. The goal was to force the bacteria to adapt to conditions inside the MFC with the hope that they would evolve greater functionality in the process. Several colonies were isolated after five months in the MFC environment and re-cultured under normal conditions. When placed in an MFC cell, the specially cultured bacteria grew much more rapidly—current saturated after 50 hours as opposed to 400 hours—and they provided twice the current density of normally cultured bacteria."

Friday, August 07, 2009

ทำไมผมถึงชอบ Bing.com :-D

Bing.com เป็น search engine ใหม่ของ Microsoft ที่ Yahoo.com จะใช้แทนเสิร์ชของตัวเองครับ เท่าที่ลองใช้ดูก็ดีนะครับ ใช้คู่ไปกับ Google.

ที่สำคัญ น้องที่ทำงานลองเสิร์ช แล้วได้ผลหน้าแรกดังนี้ครับ:



Sunday, August 02, 2009

Strong Inference: A Highly Recommended Essay About Scientific Thinking

"Scientists are pieces of the Universe trying to understand itself." --Anonymous.

If you have ever been a student in my class or if you are curious how scientists learn how Nature actually behaves (as opposed to what we presume Nature should behave), I highly recommend you read the following essay: Strong Inference.

It was written about 5 years before I was born, but I've just been aware of it. The message is as true 45 years ago (actually, as true as at least 400 years ago when Galileo started modern science) as it is today.

Very Interesting Organisms


From what I know about biology, I'm pretty sure that we are descendants of a unicellular organism that ate ancestors of mitochondria. Our ancestors got to use super high power generated by mitochondria's oxygen-base metabolism, so they could move better, hunt better, evade predators better, and in time mutated into us and all living things that have mitochondria in their cells. (By the way, all mitochondria in you come from your mother; your father's sperm was too small to carry any mitochondrion. When my kids misbehave, I would turn to my wife and tell her "Titus/Tatia/Tanya got your mitochondria.")

I just read an interesting account of something analogous to what our unicellular ancestors might have done: a carnivorous cell hunts other things until it eats a particular type of unicellular plants; it then turns into a photosynthesizing organism and stops hunting. When it reproduces (by binary fission), one offspring becomes a hunter, the other becomes a plant.

An excerpt:

Two researchers have shown a striking example of endosymbiosis forming now: in 2005 Noriko Okamoto an Isao Inouye reported on a unicellular organism called Hatena. Hatena (”enigma” in Japanese) leads a curious life cycle. Hatena is a single-cell organism, swimming around in the water, using a little feeding apparatus to eat cells and organic material smaller than itself. At some point, it would feed on another unicellular algae, the Nephroselmis. Once Hatena swallows Nephroselmis, it does not digest it. Rather, Nephrosolmis makes itself comfortable home inside Hatena. The alga starts growing inside Hatena: it grows to about 10 times its original size, filling up most of Hatena. The alga also seems to lose most of its own organelles, except for the chloroplast. The chloroplast actually grows bigger.

Hatena changes too as a result. Before ingesting the alga, it has a rather complex “mouth”, or feeding apparatus. After ingesting the algae, this mouth disappears only to be replaced by an eyespot from the algae. The eyespot is a light sensing organelle, a very primitive eye, that guides algae to light sources. In this case, it also guides the host, Hatena, to light. Hatena has obviously stopped feeding, and least through its mouth. It is now swimming to the light, letting the alga photosynthesize its food for both of them.

Friday, July 31, 2009

Thursday, July 30, 2009

เราคุยเรื่องนี้กันมาเป็นสิบปีแล้ว: การศึกษาไทย กับความรู้ ที่ไม่ก่อให้เกิด ปัญญา

บทความเต็มที่เว็บสารคดีครับ เป็นข่าวจากปี 2541 คุณแม่ท่านหนึ่งจากอนุบาลบ้านพลอยภูมิส่งมาให้

ตัวอย่าง:

อาจารย์สมพงษ์ เรียกระบบการเรียนการสอน ในมหาวิทยาลัยของไทยว่าเป็น "วัฒนธรรมไร้สาระ" เพราะเด็กที่สอบเข้า มหาวิทยาลัยได้ ถือว่าตัวเองหมดภาระแล้ว หลังจากที่ถูกยัดเยียดว่า ต้องเรียนหนังสือให้เก่ง มาตั้งแต่อนุบาล เมื่อสอบ เอ็นทรานซ์ได้ จึงทำตัวไร้สาระกันเต็มที่ นอกจากนี้ความเป็นมนุษย์ และธรรมชาติ ความอยากเรียนรู้ ของเด็ก ยังถูกทำลายไป จากการที่ถูก "เร่งเครื่อง" เต็มที่ และต้องเจอกับ สภาพความกดดันจาก การแข่งขัน เรื่องการเรียนอีกด้วย

.....ด้านนพ.พร ฟันธงว่า ระบบการศึกษาของไทยนั้น ล้มเหลว ซึ่งตัวมันเอง มองไม่เห็น และแก้ไม่ได้ นอกจากนี้ เขาเห็นด้วยกับ ผู้ฟังท่านหนึ่งที่เสนอว่า ข้อบัญญัติในมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกัน ในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่าสิบสองปี นั้นเป็น "คุกทางความคิด" ที่อันตรายที่สุด

....."ด้วยสำนึกแห่งความเป็นรัฐ การศึกษาภาคบังคับ ก็คือการจับประชาชนเข้าคุก เราเคยเสนอให้ เปลี่ยนมาใช้คำว่า "การศึกษาขั้นพื้นฐาน" ซึ่งหมายถึง การที่ประชาชน มีอำนาจในการจัดการศึกษา ให้กับตัวเอง และจะเป็น ระบบ การศึกษา ที่นำไปสู่ การเปลี่ยนแปลง ทางความรู้ ความคิด และก่อให้เกิดปัญญา ถ้าปล่อยให้รัฐ จัดการอยู่อย่างนี้ เขาจะไม่สนใจอะไรหรอก เขาก็จับคุณ ยัดเข้าโรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัย แล้วก็ปล่อยให้คุณเป็น ควายกระป๋อง อยู่อย่างนั้น"

Tuesday, July 21, 2009

How They Built Apollo 11's Software

Wow. Full story here. You can also run a simulation of the Apollo computers here.

An excerpt from the story:

During the Apollo 11 Lunar Module’s descent to the Moon 40 years ago today, Garman played a direct role in preventing a mission abort. Several warning lights and computer overload alarms came on as the craft descended just above the Moon’s surface, causing worry in Mission Control, but all of Garman’s pre-flight simulation experiences told him that the alarms were not critical and the landing could continue. Without hesitating, and without panicking, the 24-year-old NASA computer engineer confidently gave the “go” to continue the mission.

Granville Paules, was a 32-year-old guidance officer for one of the Apollo 11 mission teams and remembers that moment well.

“The alarms went off on during descent,” Paules said. “It was a conflict between the on-board systems and the computer was starting to get overloaded. Garman had a simulation where a similar thing had occurred about three weeks before that, so he knew what to do. It probably would have been a lot scarier, possibly even an abort for the landing, if we had not had that simulation. I can say that the odds of aborting that lunar landing were a lot higher than people want to believe. That simulation gave everybody the confidence to turn off the alarm and ignore it.”

Tuesday, July 14, 2009

The Brick Testament


The Brick Testament: The world's largest, most comprehensive illustrated Bible!

I especially like the rating (N, S, V, C described in the Content Notice near the bottom.)

I first read the Bible when I was about 17 when I went to a US high school which was a Catholic school. I called myself a Buddhist then, but I didn't know much about any religion, just what was osmotically absorbed into my brain from Thailand environment since my birth.

I went to a mass and tried wine and bread (the Eucharist) to see if I can feel any transubstantiation (In Roman Catholic theology, transubstantiation means the change of the substance of bread and wine into the Body and Blood of Christ occurring in the Eucharist while all that is accessible to the senses remains as before.) When I told the girl next to me that I didn't feel anything different, just wine and bread, she hissed at me with "BLASPHEMOUS!" I didn't know why she was so angry. I thought it was very reasonable to check.

Anyway, I found the stories in the Bible gruesome but exciting, especially in the Old Testament. I finished the whole Bible in a week.

Currently, I don't think any religion group would claim me as one of their own since I think large chunks of every religion I know are not true. I like the teachings of Gotama Buddha's though, especially the Kalama Sutta. (Note that this is very different from Kama Sutra, although that's interesting too.)

I'm pretty sure that when we upgrade our biology (or brain) so that we become hugely more advanced, religious beliefs will be very different. I suspect that religions were invented because humans don't like uncertainties, so any certainties, even made-up ones, are preferred. If our descendants can run a billion simulations of how the future might turn out in their head, they will feel very comfortable with uncertainties and probabilities and they don't need to believe anything without solid evidences.



Sunday, July 12, 2009

วัดธรรมกายเอาเด็กมารวมกันเป็นแสนคน ขณะที่ประเทศไทยกำลังหาทางควบคุมโรคหวัดสายพันธ์ุใหม่

ผมกำลังติดตามสถานการณ์โรคหวัดสายพันธ์ุใหม่อยู่ แม้ว่าความคิดผมคือเราคงจะป้องกันการระบาดได้ยากมาก แต่ก็น่าจะมีทางยืดเวลาการระบาดเต็มที่ให้นานออกไป (นานจนนักวิทยาศาสตร์พบว่าจะมีทางสร้างวัคซีน หรือเข้าใจตัวไวรัสได้มากขึ้นจะได้ลดความรุนแรงลง) ถ้าเราไม่ทำอะไรโง่ๆ เช่นนำคนจำนวนมากจากทั่วประเทศมาอยู่รวมกัน โดยที่คนเหล่านี้มีโอกาสติดเชื้อ แล้วส่งพาหะเหล่านี้กลับไปที่ต่างๆทั่วประเทศ

ปรากฏว่าวัดธรรมกายทำอย่างนั้นเป๊ะเลยครับ

คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าคอนเสิร์ตเอาคนมารวมกัน 20,000 คนแล้วมีคนติดโรคแล้วตาย 1-2 คน (ดังข่าวสัปดาห์ที่แล้ว) วัดธรรมกายเอาคน 400,000 คนมารวมกัน คนจะตายกี่คน ผมประมาณแบบหยาบๆ (หยาบมากๆ) พอให้ได้ idea ว่าคำตอบน่าจะอยู่ระหว่าง best case และ worst case โดยที่ best case คือคนที่มีเชื้อยังไม่มีเวลาพอที่จะแพร่ให้คนส่วนใหญ่ และ worst case คือมีเวลาพอที่จะมีการผสมปนเปกันไปหมดระหว่างคนที่มีเชื้อและไม่มีเชื้อ

ใน best case ผมประมาณว่าถ้ามีคนส่วนใหญ่ยังไม่ติดเชื้อ จำนวนคนที่ตาย น่าจะแปรผันตรงกับ จำนวนคนที่มีเชื้อที่มาร่วมงาน คูณกับค่าคงที่ ซึ่งปริมาณคนที่ติดเชื้อที่มาร่วมงานก็แปรผันตรงกับจำนวนคนทั้งหมด ดังนั้น คนมารวมกัน 400,000 คนก็น่าจะมีคนตายเป็น 400,000/20,000 = 20 เท่าของคนรวมกัน 20,000 คน = 20 x (ตาย 1-2 คน) = ตาย 20-40 คน

ใน worst case ผมประมาณว่าถ้ามีคนส่วนใหญ่ยังไม่ติดเชื้อ จำนวนคนที่ตาย น่าจะแปรผันตรงกับ จำนวนคนที่มีเชื้อที่มาร่วมงาน คูณกับจำนวนคนยังไม่ติดเชื้อที่มาร่วมงาน โดยที่จำนวนทั้งสองก็ต่างแปรผันตรงกับจำนวนคนทั้งหมด ดังนั้น คนมารวมกัน 400,000 คน ก็น่าจะมีคนตายเป็น (400,000/20,000)(400,000/20,000) = (20)(20) = 400 เท่าของคนรวมกัน 20,000 คน = 400 x (ตาย 1-2 คน) = ตาย 400-800 คน

การป้องกันระวังตัวมากขึ้นเป็นการลดขนาดค่าคงที่ในอัตราการแปรผันตรงเท่านั้น และเนื่องจากการชุมนุมที่วัดนานกว่าระยะเวลาคอนเสิร์ตหลายเท่า ผมจึงคิดว่าสิ่งที่วัดบอกว่าได้ระมัดระวังอย่างมากแล้ว ก็คงไม่สามารถลดการแพร่เชื้อจนเป็นศูนย์ได้

แน่นอนคำตอบที่ใกล้ความจริง ต้องใช้แบบจำลองที่ละเอียดและถูกต้องมากกว่านี้ แต่การประมาณหยาบๆก็ให้ idea คร่าวๆกับเราได้ จำนวนคนเป็นสิบ หรือร้อย (หรือแม้แต่เพียงคนเดียว) ที่จะตายจากเหตุการณ์ไม่เข้าท่าแบบนี้ ก็เป็นการตายที่ไม่จำเป็นอย่างยิ่ง (เพราะหลีกเลี่ยงได้ถ้าผู้ใหญ่ไม่ไปบังคับเด็กให้มาร่วม)

ในฐานะที่ผมค่อนข้างจะเชื่อว่าคำสอนในพุทธศาสนาเป็นคู่มือการใช้สมองสำหรับ Homo sapiens ที่น่าจะเข้าท่ามาหลายศตวรรษแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพระผู้ใหญ่นั่งรถเบนซ์ทั้งหลายจึงตามบี้สันติอโศก แต่ปล่อยให้ธรรมกายทำเรื่องหลายๆเรื่องที่ไม่เข้าท่าอย่างนี้ เป็นผลจากอามิสหรือเปล่า (นักวิทยาศาสตร์มักจะพูดว่า "ค่อนข้าง" และ "น่าจะ" เพราะพวกเราถูกฝึกมาให้รู้ว่าเรารู้น้อยแค่ไหน และค้นหาความจริงในธรรมชาติได้ยากแค่ไหน และเราไม่ควรแต่งเรื่องมาหลอกผู้คน (+ห้ามใครเถียงด้วย!) เมื่อเรายังไม่ค้นพบว่าความจริงมีหน้าตาคล้ายๆแบบไหน)

มีความเห็นในข่าวที่ผมไปอ่าน ที่ผมเห็นด้วยแต่ไม่มีปัญญาเขียนได้ จึงขอคัดลอกมาดังนี้ :

ความคิดเห็นที่ 44

จุดประสงค์ของการปฏิบัติธรรมก็เพื่อการละคลาย หลุดพ้นออกจากสังสารวัฏ ออกจากความวุ่นวายและลักษณะทางโลก ออกจากหัวโขนและตำแหน่ง ออกจากอันดับและการลำดับชั้น ออกจากชื่อเสียงและเกียรติยศ

จะสังเกตได้ชัดๆว่าสำนักที่เห็นผิดโดยอ้างว่าช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา จะมีลักษณะดังต่อไปนี้

1.สำนักนั้นเน้นความเป็นใหญ่ ความเป็นอันดับ1

สิ่งนี้คือ ทิฏฐิมานะและอัตตา ความยึดมั่นในชื่อเสียงและความอลังการของ"ตัวตน" แท้จริงแล้วไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เป็นเพียงบัญญัติสมมุติเท่านั้น จริงอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครจะหลุดพ้นจากตัวตน เพราะเป็นธรรมที่ทวนกระแสโลก แต่หากผู้เผยแผ่ธรรมะหรือเจ้าสำนักต่างๆ ทำตัวเป็นผู้ส่งเสริมตัวตนหรืออัตตาซะเอง จะกล่าวไปใยถึงเหล่าปุถุชนที่เดินตาม

ท่านรู้ไหม ผู้ที่กล่าวประโยคที่ว่า
"อันตัวข้าพเจ้าเป็นดั่งผ้าเช็ดธุลี" คือใคร
ตอบ ท่านพระสารีบุตร ผู้ที่มีปัญญารองจากพระพุทธเจ้า
ท่านคือหนึ่งในยอดของพระอรหันตสาวก แต่ดูสิท่านกลับเป็นผู้ที่ไม่ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ หรือถือตัวว่าเป็นผู้เลอเลิศ

ดังนั้นสำนักใดใครว่าอะไรนิดหน่อยก็ง้างคนอื่นขึ้นทุกประเด็นโดยมิรับฟังเหตุผลที่สมควร หรือมิยอมที่จะลงให้กับผู้ใดเพราะถือตนว่าเป็นที่1
ขอให้ทราบไว้ว่า นั่นเป็นวิสัยของพญามาร

2.สำนักนั้นมีการเรี่ยไรเงินทองอยู่เป็นนิตย์

ถ้าหากมั่นคงในผลของกรรมแล้ว การจะได้เงินมาบำรุงสำนักหรือไม่ ก็อยู่ที่วิบากดีชั่วมิใช่หรือ ใยต้องทำผิดพระวินัยหรือทำในสิ่งที่ขัดกับแนวทางของพระพุทธศาสนา

พระพุทธองค์หรือคณะสงฆ์ในสมัยพุทธกาล แม้การไปบิณฑบาต ก็มิใช่การขอหรือเรี่ยไร แต่เป็นการไปโปรดญาติโยมให้มีโอกาสทำบุญเจริญกุศล ท่านเหล่านั้นได้เพียงอาหารเพื่อให้อยู่รอดที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ การรับของท่านเหล่านั้น ปราศจากกามและเกียรติยศชื่อเสียงค้ำคอ

แม้การกินอยู่ของท่านเหล่านั้นยังเป็นไปเพื่อผู้อื่น มิใช่เพื่อชื่อเสียงหรือความเป็นใหญ่ของตน

3.สำนักนั้นตีค่าปริมาณของวัตถุให้เท่ากับค่าของบุญ

เป็นความเข้าใจที่ผิดและยังเอาความเข้าใจนี้ไปบอกต่อคนจำนวนมากให้เห็นผิดมากขึ้นไปอีก เคยมีเรื่องเล่าในสมัยหลังพุทธกาลไม่นานนัก ที่กล่าวถึงบุพกรรมของเทพบุตรองค์หนึ่งซึ่งมีวิมานและรัศมีเจิดจรัสกว่าใครเพื่อน จึงได้สอบถามว่าท่านได้กระทำกรรมอันใดมา ปรากฏว่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ท่านเป็นเพียงชาวนาที่ไม่มีโอกาสเจริญบุญกุศลเลย วันๆเอาแต่ทำนา แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งพักกลางวันกำลังจะเอาข้าวอันน้อยนิดเข้าปาก ก็มีอีกาบินลงมาเกาะข้างๆแล้วมองหน้าชาวนาท่านนี้ ชาวนาท่านเมื่อเห็นสีหน้าอีกาก็รู้ว่าคงจะหิวมาก แต่ทำไงดีล่ะในเมื่อข้าวมีแค่อุ้งมือเดียว แต่ด้วยใจที่สละออก แม้มีน้อยก็ยังให้ได้ ท่านจึงสละข้าวนั้นให้แก่อีกา ด้วยคิดว่าตัวท่านน่าจะยังไหว แต่อีกาอาจจะตายแน่เพราะหุงหากินเองไม่ได้ แต่แล้วด้วยความเหนื่อยล้าและไม่ได้กินอาหาร ท่านจึงขาดใจตายตรงนั้น จึงยังผลให้ท่านเป็นเทพบุตรด้วยบุญสุดท้ายที่กระทำก่อนตายเพียงบุญเดียว แต่มีผลให้เสวยทิพยสมบัติหลายพันปี ด้วยจิตที่คิดสละออกนั่นเอง จะกล่าวไปใยถึงผู้ที่หมั่นเจริญบุญกุศลแท้ๆเป็นอันมาก สมดังกับพระพุทธพจน์บทหนึ่งที่กล่าวทำนองว่า "หากสัตว์ทั้งหลายรู้ผลของทานเหมือนเรารู้แล้วไซร้ สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่บริโภคก่อนที่จะให้เลย"
ท่านลองนึกดูว่า แม้เพียงข้าวเพียงอุ้งมือเดียว แต่จิตใจนั้นยิ่งใหญ่ที่จะสละออกไป โดยไม่นึกถึงว่าตัวเองจะรอดหรือไม่ เป็นมหากุศลเพียงใด ดังนั้นคุณค่าของบุญไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของวัตถุเสมอไป แต่อยู่ที่ใจหรือเจตนาที่เป็นกุศล ไม่ใช่โลภะที่ทำบุญเหมือนการลงทุนอะไรสักอย่าง ถ้าคิดแบบนี้ก็มีแต่จะขาดทุน เพราะอกุศลจิตเกิดแม้เพียง1ขณะจิต ก็มีผลงอกเงยสะสมเป็นผลของอกุศลในที่สุด

เมล็ดต้นมะม่วงปลูกลงไปในดิน ต้นของมันก็เจริญเติบโตขึ้นมาออกใบ ออกดอก ออกผล ฉันใดก็ฉันนั้น ผลของกรรมทั้งดีและชั่วย่อมให้ผลเกินตัว เพราะอกุศลจิตขณะที่กระทำชั่วหรือคิดอกุศลมีปริมาณที่มากแม้จะกระทำชั่วไปแค่ครั้งเดียว แต่ทำสิ่งใดย่อมได้ผลของสิ่งนั้นเสมอ

4.สำนักนั้นปฏิเสธพระไตรปิฎกโดยอ้างการปฏิบัติเพียงอย่างเดียว หรือบิดเบือนพระไตรปิฎก หรือ นำพระไตรปิฎกมาอ้างการปฏิบัติด้วยการตีความที่เข้าข้างความคิดเห็นของตนเองหรือมายามารที่ลวงให้เชื่อว่านั่นคือผลของการปฏิบัติ

เพราะพระไตรปิฎกเป็นตัวแทนของพระศาสดา ดังที่พระพุทธพจน์ที่ทรงตั้งพระธรรมวินัยนี้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์มิได้ตั้งใครเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ มิได้สั่งว่าหลังจากปรินิพพานแล้วจะกลับมาหาอีก พญามารก็สามารถแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกผู้ปฏิบัติได้ หากไม่ตรวจสอบกับพระธรรมวินัย ก็ย่อมเป็นเครื่องมือของมารในการทำลายพระพุทธศาสนา ย่อมหลอกให้คนรุ่นหลังหลงเชื่อว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาหาจริงๆ หรือคิดว่าสามารถขึ้นไปเดินเล่นบนเมืองนิพพานได้ คิดว่านิพพานมีบ้านมีเมืองสวยงาม
(เป็นโลภะและโมหะ ที่พอใจหลงใหลไม่รู้สึกตัว)

สำนักใดที่นำพระไตรปิฎกมาบิดเบือนหรือพยายามตีความพระไตรปิฎกเพื่อเข้าข้างความคิดเห็นตนเอง ย่อมนำความหายนะมาสู่พระศาสนาเป็นอันมาก

5.สำนักนั้นมีวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง รวมทั้งมีการนำเครื่องรางของขลังออกมาปล่อยเช่าบูชาอยู่เสมอ

สิ่งเหล่านี้เป็นความวิบัติของพุทธศาสนิกชนและพระพุทธศาสนา เป็นการเจริญของโลภะ ถ้าเป็นไปเพื่อการ"ได้" ไม่ใช่การ"ละ" ก็ย่อมหมายถึงการยืดสังสารวัฏให้ยาวออกไปอีก พระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์ต่างๆ แต่ละท่านก็มีคุณงามความดีให้ยึดถือและจดจำ นำไปปฏิบัติตาม มีพระธรรมคำสอนสืบต่อกันมาเพื่อให้ศึกษาให้เข้าใจและประพฤติตามธรรมอย่างสมควรแก่ธรรม เมื่อเพียรเช่นนี้จนมั่นคงแล้ว ท่านเรียกว่ามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม หากมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แล้วยังต้องการมีรูปหรือวัตถุเป็นเครื่องระลึกถึง แม้เพียงรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์ตัดมาใส่กรอบก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะอยู่ที่ใจว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนในการถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ หากเริ่มเป็นการสะสมพระ หรือเล่นพระเมื่อไหร่ หรือเริ่มขออานิสงส์ขอความช่วยเหลือจากเครื่องรางหรือวัตถุมงคลเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือวิบัติของศาสนาพุทธ เพราะนั่นไม่ใช่เจตนาที่บริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการละคลายแม้แต่น้อย มีแต่ความต้องการซึ่งเป็นโลภะอย่างละเอียด

หวังว่าข้อความเล็กน้อยเหล่านี้
จะเป็นประโยชน์ต่อสาธุชนไม่มากก็น้อย

อดีตปทุมมา

Saturday, July 11, 2009

Tuesday, July 07, 2009

เราจะเปลี่ยนประเทศได้อย่างไร?

สละเวลา 3 นาทีดูคลิปที่แกะดำทำไว้น่าจะดีนะครับ ถ้าคนไทยสัก 30 ล้านคนทำ ประเทศไทยเจริญแบบยั่งยืนขึ้นแน่

มี พ่อผาย สร้อยสระกลาง และ ท่าน ว.วชิรเมธี มาให้ความเห็นในคลิปครับ

Monday, July 06, 2009

บทความแนะนำ (อีกแล้ว): "ทักษิณ-กษิต" ใครคู่ควรข้อหาก่อการร้าย?"

โดยคุณ เปลว สีเงินครับ (กดที่นี่เพื่ออ่านบทเต็ม)

บทย่อ:

"...ควรเข้าใจให้ตรงตามมาตรฐานด้วยว่า ไม่ว่านักการเมือง หรือไม่นักการเมือง ไม่ว่า ส.ส.หรือรัฐมนตรี หรือนายกฯ หรือประธานรัฐสภา หรือนายหมู นายแมว คนไหนก็ตาม ในชั้นถูกกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนนี้ ไม่มีสิทธิอันใดบุบสลายที่จะไปเป็นนั่น-เป็นนี่ไม่ได้ ยังบวชได้ ยังไปนอกได้ ยังเป็นรัฐมนตรีได้ ยังผ่าตัดแปลงเพศได้

และยังเป็น ผบ.ตร.ได้ด้วยซ้ำ ดูอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท นั่นไง ถูกกล่าวหาอยู่ในคดี ๗ ตุลา.ฆ่าประชาชน ยังหน้านวล เรือนผมเรียบแปล้แลเงาม่วงอยู่ในตำแหน่งได้เลย เห็นมั้ยล่ะ!?

เพราะเพียงถูกกล่าวหา ยังไม่ทราบว่าผิดจริง หรือถูกจริง จนกว่าคดีจะไปถึงชั้นศาล และศาลท่านได้ไต่สวน พิจารณาความแล้ว ตัดสินอย่างใด-อย่างหนึ่งเป็นที่สุดแล้วนั่นแหละ

ทีนี้ กฎ-กติกามีว่าอย่างไร ก็ต้องเดินไปตามนั้นเป๊ะ!

ตอนนี้แค่ตำรวจกล่าวหา สิวๆ ครับ ท่านเด็จพี่-โฆษกพรรคเพื่อไทยที่ชอบผัดหน้า กรีดนิ้ว ออกมาตะแบงข่าวเป็นประจำน่ะ ไม่เห็นแก่ลูกหมีแพนด้า ก็ขอให้เห็นแก่พังแป้นอยุธยาบ้างเถอะ แถลงข่าวจวกรัฐบาลนั่นก็..เชิญเด็จพี่ตามสบาย แต่ขอไว้อย่าง ในฐานะเป็นคนสถาบันนิติบัญญัติ

อย่าพูดอะไรที่บิดเบือนกฎหมาย เพราะสังคมจะหลงเข้าใจผิด ด้วยนึกว่าคนในสถาบันนิติบัญญัติมีมาตรฐานเชื่อถือได้ พูดอะไรย่อมพูดตามหลักกฎหมาย อย่างที่ยกเหตุท่านรัฐมนตรีกษิตตกเป็นผู้ต้องหาก็ออกมาตีปี๊บ-ตีป่าให้ท่านลาออกวันนี้-เดี๋ยวนี้นั้น

มันยังไม่ใช่หรอกครับ ท่านจะลาออก หรือไม่ลาออก เป็นเรื่องของท่าน แต่จะให้ท่านลาออกเพราะเหตุตำรวจกล่าวหาบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิ มันไม่เข้าครรลองกฎหมาย หรือกฎ-กติกา-มารยาทไหนๆ ในโลกบัญญัติไว้หรอก

ไอ้นักโทษคดีถึงที่สุดแล้ว แต่หนีไปก่อการร้ายต่อบ้านเมืองอยู่นอกประเทศ อย่างนั้นตะหากที่เด็จพี่จากพรรคเพื่อไทยควรทำหน้าที่ ช่วยกันไปลากคอกลับมาเข้ากระบวนการกฎหมายบ้านเมือง เพราะนี่...เป็นสิ่งที่องค์กรในสถาบันนิติบัญญัติพึงกระทำ

ไม่ใช่อุ้มให้ขี่คอทางด้านหน้าของแต่ละคน แล้วพากันซุกไซ้หว่างขาอย่างที่เห็นกันจะจะคาตาอยู่ขณะนี้!"

Tuesday, June 30, 2009

หนังสือแนะนำอีกแล้วครับ


รู้ทันทักษิณ 5: สงครามกลางเมือง แม้ไม่มีแผ่นดินอยู่ก็ต้องรู้ทัน

หาซื้อได้ตามร้านหนังสือ และร้านหนังสือออนไลน์ทั่วไป เล่มละ 250 บาท 271 หน้า

หนังสือชุดนี้ออกมาห้าเล่มแล้ว ผมซื้ออ่านทุกเล่ม มีบันทึกและความเห็นประวัติศาสตร์มากมาย เล่มนี้มีเรื่องเหล่านี้ครับ ดูคนเขียนก็น่าอ่านแล้ว

คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียกนักโทษ โดย น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ
สงครามอนารยชนของทักษิณ โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร
เหลี่ยมหนา หรือบ้ากันแน่ โดย นพ. เกษม ตันติผลาชีวะ
กบฏอสัตยชน: ไม่ตาย ไม่จบ? โดย เปลว สีเงิน
ประเทศไทย แพ้ไม่ได้ โดย ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และ สันติสุข มะโรงศรี
ตำรวจไทยในสงครามประชาชน โดย ทวี สุรฤทธิกุล
รูัจักพันธมิตรฯ รู้ทันพิษคนเสื้อแดง โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
จาก "นายกรัฐมนตรีของเรา" สู่ "นายกรัฐมนตรีของคนเสื้อแดง" : "ดีเอ็นเอระบอบทักษิณ" ยังไม่ตาย! โดย อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ
Air War: สงครามสื่อ ในสงครามกลางเมือง โดย สุทิน วรรณบวร
การสอดแนมเฝ้าระวังกับสงครามกลางเมือง โดย ดร. พิรงรอง รามสูต
จากมหาสยามยุทธ สู่การเยียวยาฟื้นฟู โดย นพ. ประเวศ วะสี
ต้นไม้ประชาธิปไตย: จะโตหรือตายก็ด้วยไทยทุกคน โดย ดร. อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล

Monday, June 22, 2009

DIYbio: Do-It-Yourself Biology Experiments

This might be the beginning of the end of Homo sapiens. Either we become extinct, or we might selectively evolve ourselves till we transcend the current biological hardware we currently employ. Give it a decade or two for all the amateurs to create something fantastic (or, I hope not, horrendous.)

From the site's description:

DIYbio is an organization that aims to help make biology a worthwhile pursuit for citizen scientists, amateur biologists, and DIY biological engineers who value openness and safety. This will require mechanisms for amateurs to increase their knowledge and skills, access to a community of experts, the development of a code of ethics, responsible oversight, and leadership on issues that are unique to doing biology outside of traditional professional settings.

I've always wanted to be able to photosynthesize my own food :-) I think I will try doing some of the projects with my kids and students.

The Simplest Way To Understand The Banach-Tarski Paradox

The Banach-Tarski paradox says that you can cut up a ball into pieces, then rejoin the pieces into two balls that look the same as the original ball. Yep, that's why it's called a paradox.

Anyway, it assumes we start with a mathematical ball with infinite number of points in it. With that, the result seems plausible since you can cut an infinite set into multiple infinite sets, each of which contains elements that can be mapped one-to-one to the elements of the original set (e.g. the set of integers can be cut up into the sets of odd and even integers.) However, I never understood how the pieces of the original ball can be reassembled into two balls.

I tried to read the wikipedia entry on Banach-Tarski paradox before, but I still didn't understand. However, today someone pointed me to a web comic that explains how to cut up the ball into 5 pieces (and not 4 pieces) and reassemble them into two balls. I think it's the clearest explanation for non-mathematicians.

Tuesday, June 16, 2009

ไข้หวัดใหญ่ H1N1 ในประเทศไทย

ผมแวะเข้าไปดูข้อมูลของกระทรวงสาธารณะสุขที่มีข้อมูลเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ H1N1 และเอาจำนวนผู้ป่วยมาใส่ตารางดูครับ (หาข้อมูลวันที่ 14 มิ.ย. ไม่พบครับ)

Date

Day #

Thailand H1N1

2009-06-16

35

310

2009-06-15

34

201

2009-06-14

33


2009-06-13

32

89

2009-06-12

31

47

2009-06-11

30

21

2009-06-10

29

15

2009-06-09

28

13

2009-06-08

27

10

2009-06-07

26

9

2009-06-06

25

8

2009-06-05

24

8

2009-06-04

23

5

2009-06-03

22

5

2009-06-02

21

4

2009-06-01

20

4

2009-05-31

19

3

2009-05-30

18

2

2009-05-29

17

2

2009-05-28

16

2

2009-05-27

15

2

2009-05-26

14

2

2009-05-25

13

2

2009-05-24

12

2

2009-05-23

11

2

2009-05-22

10

2

2009-05-21

9

2

2009-05-20

8

2

2009-05-19

7

2

2009-05-18

6

2

2009-05-17

5

2

2009-05-16

4

2

2009-05-15

3

2

2009-05-14

2

2

2009-05-13

1

2


ยังไม่มีใครตายจากโรคนี้ในประเทศไทยครับ แต่คงจะป้องกันไม่ให้ระบาดไม่ได้ (เช่นเดียวกับหวัด และไข้หวัดสายพันธ์ที่เรารู้จักกันอยู่แล้ว) เชื้อไม่แรงกว่าเชื้อทั่วไปครับ จำนวนคนตายทั้งโลกยังน้อยกว่าคนตายช่วงสงกรานต์ในประเทศไทยมาก

ข้อมูลจากทั้งโลกปรากฏว่าอัตราการตายลดลงเรื่อยๆจนตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งเปอร์เซนต์แล้ว การป้องกันตัวและรักษาก็เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่ควรแตกตื่นกันเกินไป ล้างมือบ่อยๆ ถ้ามีอาการไอจาม ก็อย่าไปพ่นใส่คนอื่น ใส่หน้ากากไว้ก็น่าจะไม่มีปัญหา ถ้าประเทศเรามีวัฒนธรรมใส่หน้ากากเวลาป่วยก็คงติดต่อกันยากขึ้นอีก

ไว้ถ้าเรามีโรคแบบ 28 Days Later ค่อยมากังวลกันใหม่

ปล. ถ้าผมติดเชื้อ H1N1 แล้วตาย โพสต์อันนี้จะตลกมากเลย