Monday, October 19, 2009

เรื่องผีๆ: เจอดีที่เขาใหญ่

ผมกลัวผีครับ

ผมค่อนข้างแน่ใจมากๆว่าไม่มีผีจริงๆหรอก (ถ้าจะให้พนันคงจะต่อสัก 1000:1 ว่าไม่มี) แต่สมองส่วนขี้กลัวถูกโปรแกรมตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆว่าให้กลัวผี ดังนั้นเวลาดูหนังผีจะรู้สึกเสียวสันหลังและขนลุกที่ต้นคอถ้าหนังทำบรรยากาศน่ากลัว (ผมเคืองหนังเรื่อง The Sixth Sense มากกว่าหนังผีอื่นๆ ที่ดันบอกว่าเวลามีผีอยู่ด้วยในห้อง ห้องจะเย็นและเราจะขนหัวลุก ทำให้กลัวไปกันใหญ่)

ผมมีสมมุติฐานว่าคนที่บอกว่าเคยเห็นผีน่าจะเป็นเพราะภาพลวงตา หรือเสียงลวงหูหรือสมองลวงตัวเอง เพราะว่าใจพยายามอธิบายข้อมูลแปลกๆว่าเกิดจากผี ไม่ใช่เพราะสมอง ตา หู ทำงานผิดพลาดหรือเกิดจากปรากฎการณ์ธรรมชาติอื่นๆที่เราไม่รู้ ดังนั้นคนกลัวผีจึงมีโอกาสเจอ "ผี" มากกว่าคนไม่กลัวผี เนื่องจากผมอยากรู้ให้แน่ใจว่าผีมีหรือเปล่า ดังนั้นเวลาผมเจอเงาแปลกๆ หรือเสียงแปลกๆผมจึงพยายามหาว่าต้นตอเกิดจากอะไร และยังไม่เคยพบผีสักที

ทุกครั้งที่ผมไปเขาใหญ่ผมจะเห็นคนจุดธูปบูชาศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ผมจึงฝากในใจว่าถ้ามีผีในป่าขอให้มาปรากฎให้ผมเห็นชัดๆด้วย เพราะมีคนบอกว่ามีผีในป่าเยอะ แม้ว่าผมจะกลัวผีมาก แต่ผมอยากรู้อยากเห็นมากกว่า และดูจากอัตราการตายของประชากร คิดว่าการตายจากการถูกผีหลอกไม่น่าจะอันตรายนัก เพราะอัตราการตายต่ำกว่าจมน้ำ ฟ้าผ่า หรือเป็นโรคอ้วน คิดชั่งใจดูแล้วตัดสินใจว่า ถึงจะกลัวสุดขีดแต่รอดตายและรู้แน่นอนว่ามีผีจริงๆ น่าจะคุ้ม

วันเสาร์ที่ผ่านมาผมขึ้นไปเขาใหญ่กับภรรยาและธัชธีญา เพื่อไปรับธีธัชที่ไปแคมป์กับโรงเรียนบ้านพลอยภูมิในอาทิตย์ที่ผ่านมา จะค้างหนึ่งคืนและกลับในวันอาทิตย์ คราวนี้ก็เช่นเคย อธิษฐานเวลาผ่านศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่่ว่าถ้ามีผีจริงขอให้แสดงตัวให้ผมรู้ด้วย คราวนี้ผมจะต้องนอนคนเดียวในห้องพัก เพราะตอนแรกจองห้องไว้ให้แม่และน้องของภรรยา แต่แผนเปลี่ยนห้องเลยว่าง และลูกๆและภรรยาจะนอนด้วยกันที่ห้องรวมของโรงเรียนและผมต้องแยกไปนอนที่ห้องว่างนั้น ผมคิดว่าเวลาอยู่คนเดียว ถ้าผีมีจริงน่าจะมาเยี่ยมง่ายขึ้น (ซึ่งผมก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเองเพราะผมย่อมไม่รู้นิสัยของผี แต่สังเกตว่าคนที่เล่าว่าเจอผี มักจะอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่ในกลุ่มใหญ่)

หลังจากกิจกรรมวันเสาร์เสร็จสิ้นแล้ว ผมก็ลาภรรยาและลูกๆแล้วขับรถไปยังห้อง แปรงฟันเสร็จก็เปิดคอมพิวเตอร์ดู Monsters vs. Aliens จนจบและเริ่มนอนเมื่อเกือบ 4 ทุ่มเพราะต้องตื่นตีห้า

ตอนกลางดึก(มารู้ทีหลังว่าเกือบตีสอง)ก็เกิดเรื่อง ผมเริ่มฝันว่ามีอะไรที่มองไม่เห็นมาหยิกแขนซ้ายให้เจ็บยิบๆๆ เจ็บตั้งแต่มือไปจนถึงข้อศอก เจ็บจนทนไม่ไหวผมก็ตื่นขึ้นมา แขนก็ยังไม่หายเจ็บ ผมคิดว่าเอาละเว้ย เจอผีแหงๆ รีบเปิดไฟดูทันที

ผมเห็นตัวการชัดเจนเลยครับ เรียงอยู่กันเป็นแถวข้างเตียงเลย มดดำตัวเล็กๆครับ พากันเดินข้ามเตียงผมไปยังอีกฟาก แถวมดบางส่วนยังอยู่บนแขนซ้ายผม และบางตัวก็กำลังกัดผมอย่างเมามัน ผมโมโหเลยปัดตายไปหลายตัว มาคิดทีหลังว่าไม่น่าไปทำเขาเลย เรามาอยู่ในบ้านเขาแท้ๆ แถมไปทำเขาตายอีก เหมือนเราเป็น Aliens มาบุกโลกมดยังไงยังงั้น

โอเค สรุปผลการทดลอง: คราวนี้ยังไม่พบว่ามีผีนะครับ แสดงว่า:
  1. ผีอาจมีจริงแต่เราเรียกเขาไม่ถูกวิธี อาจจะใช้วิธีคิดในใจไม่ได้ หรือไปบอกคนผิดเช่นเจ้าพ่อศาลเขาใหญ่ไม่มีหน้าที่ไปเรียกผีให้เราดู หรือ
  2. ผีอาจมีจริงแต่เขายุ่งเลยไม่รู้่ว่าจะมาเจอเราทำไม หรือ
  3. ผีอาจมีจริง รู้ว่าเราอยากพบ แต่เดินทางมาหาไม่ทัน หรือ
  4. ผีอาจมีจริง แต่ไม่มาเจอกับเราเนื่องจากสาเหตุอื่นๆ หรือ
  5. ผีไม่มีจริง
ผมก็คงความเชื่อว่าไม่น่าจะมีผีต่อไป แต่อัตราส่วนต่อรองเพิ่มขึ้นอีกนิด (จาก 1000:1 เป็น 1000+ : 1) ตามหลักการ Bayesian Inference เปี๊ยบ (ผมเคยพูดถึงไว้ในอดีตครับ) แต่ผมก็กลัวผีแบบไม่มีเหตุผลเหมือนเดิม (ผมกลัวอะไรแบบไม่มีเหตุผลหลายอย่างครับ เช่นกลัวฉลามในสระว่ายน้ำเพราะไปดู Jaws ตอนเด็กๆ หรือกลัวจิ้งจกมากกว่ากลัวงูเพราะเคยจับจิ้งจกตอนเด็กๆแล้วหางเขาหลุดติดมือ เป็นต้น)

ถ้าใครมีหลักฐานแน่นหนา น่าเชื่อว่ามีผีจริงๆกรุณาบอกผมด้วยนะครับ ถ้าผีมีจริงจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเพราะว่ามีอะไรที่เราไม่รู้อีกเรื่องเบ้อเริ่มเลย มี Nobel Prizes หลายอันในการศึกษาแน่ ผมชอบสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งแปลกยิ่งดี แต่ต้องมีหลักฐานดีๆนะครับ พวกหลอกลวงชาวบ้าน หรือคิดเป็นตุเป็นตะไปเองแล้วโมเมเอา ไม่น่าสนใจ ผมคิดว่าคนที่ชอบบอกคนอื่นๆว่า "ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่" ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมนะครับ เพราะเป็นตัวแพร่ความงมงายในหมู่คนวงกว้างต่อไป ถ้าเราไม่รู้เรื่องอะไรหรือไม่เชื่อเรื่องอะไร ถ้าเราสนใจเราควรจะคิดหาทางตรวจสอบว่าความจริงเป็นอย่างไรนะครับ ลูกหลานในอนาคตจะได้รู้มากกว่าพวกเรา

เท่าที่เห็นข้อมูลสนับสนุนที่ผ่านมา ผมยังไม่เชื่อว่ามี ผี ไดโนเสาร์(ไม่รวมนก)ที่ยังมีชีวิตอยู่ มนุษย์ต่างดาวเยือนโลก Bigfoot หมอดูที่รู้อนาคต ผู้วิเศษอย่าง Harry Potter ฯลฯ นะครับ แม้ว่าในใจผม ผมอยากจะให้สิ่งเหล่านี้มีจริงๆก็ตาม เพราะถ้ามีจริง ก็แสดงว่าธรรมชาติยิ่งแปลกประหลาดกว่าที่เราคิดอีกเยอะ :-D

ปล.

1. เสียงสัตว์แปลกๆที่เราไม่คุ้นเคยในป่ามีมากมายครับ ถ้าเสียงน่ากลัวอาจทำให้เราคิดว่าเป็นผีก็ได้

2. มีนักวิทยาศาสตร์คิดว่าในสถานที่ในอังกฤษที่ว่ากันว่าผีดุนั้น สามารถอธิบายได้จากการที่มีเสียงความถี่ต่ำกว่าที่เราได้ยิน (infrasound) ทำให้เรารู้สึกอึดอัด รู้สึกว่ามี "อะไร" บางอย่างอยู่รอบๆครับ นักวิทย์เหล่านี้สามารถเปิดและปิดความรู้สึกผีหลอกด้วยการเปิดปิดลำโพงที่ส่งเสียง infrasound ด้วยครับ

3. ถ้าท่านชอบเรื่องราวทำนองวิทยาศาสตร์ผมมี blog posts หลายอันเหมือนกันครับ

5 comments:

Unknown said...

ผมว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเรา นิยาม คำว่า ผี ยังไงนะครับ
ถ้าให้มันเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่เราต่อต้านไม่ได้
การทำงานของสมองในส่วนจิตใต้สำนึก ก็สามารถเป็นสิ่งที่เหนือการต่อต้านของเราเช่นกัน

ดังนั้น คนที่หนาวตายในห้องแช่แข็งทั้งๆที่ไม่ได้เปิดเครื่อง ก็อาจเรียกว่าโดนผีหลอกได้เหมือนกัน ถ้าเกิดในบ้านเรา อาจจะโดนสรุปแบบนั้น :)

แต่ถ้านิยามว่ามันคือสิ่งที่เหนือธรรมชาติและ "จริง" สำหรับทุกคน อันนั้นก็คงหายากหน่อย และ อ้างได้ว่า ผีเขาเลือกคนหลอก

Ko Saipetch said...

เวลาผมคิดถึงผี ผมจะไม่รวมปรากฏการณ์ที่เกิดเฉพาะในความคิด/สมองของผมครับ ถ้าเป็นเฉพาะในหัวผม ผมคิดว่ามันควรจะเรียกว่า hallucination ผมคิดว่าถ้ามีผีจริงๆ เราควรจะมีวิธีตรวจสอบที่ทุกๆคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่ามีผีหรือเปล่า สามารถมีความเห็นร่วมว่ามีอะไรบางอย่างที่มีตัวตนอยู่จริงๆ ไม่ขึ้นอยู่กับเฉพาะความคิดของคนบางคนเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น เราไม่เคยเห็นคลื่นวิทยุ แต่เรารู้ว่าคลื่นวิทยุมีคุณสมบัติอย่างไร เราจึงสามารถตรวจจับคลื่นวิทยุได้โดยการเอาตัวนำไฟฟ้า (เสาอากาศ) ไปขวาง ให้คลื่นวิทยุสั่นประจุไฟฟ้าในตัวนำและเราสามารถวัดความสัญญาณได้ อันนี้ไม่ว่าใครก็ตาม สามารถมีความเห็นร่วมกันว่ามีอะไรบางอย่าง ที่เรามองไม่เห็น แต่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้า ที่เราสามารถวัดได้ หรือเอาไปต่อออกลำโพงให้ได้ยินได้

ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน จึงไม่มีอะไรอยู่นอกธรรมชาติ แต่บางอย่างเรายังไม่รู้จักหรือเข้าใจเท่านั้น ดังนั้นเรื่องผี ถ้ามี ก็ควรจะเป็นอะไรที่เราเข้าใจได้เหมือนกัน :-D

Tosak said...

ผมคิดว่าจริงแล้วเราบอกไม่ได้ทั้งหมดว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องไหนเป็นปรากฏการณ์ในสมองเรานะครับ เพราะทุกอย่างข้างนอกเรา ก็ถูกรับรู้แล้วแปลงเป็นประสบการณ์โดยสมอง เพื่อให้เราเข้าใจ สิ่งที่เราคิดก็เป็นประสบการณ์ในสมองเหมือนกัน

อีกอย่้าง เรื่องผีๆอาจจะไม่สามารถใช้การสัมผัสด้วยประสาทแึ้ค่ 5 อย่างได้ ซึ่งหมายถึงว่าการไปพิสูจน์อะไรด้วยเึครื่องมืออาจจะบอกเราไม่ได้ทั้งหมด

ยกตัวอย่างสุดคลาสสิคจากหนังเรื่อง Contact แล้วกันครับ "พิสูจน์ความรัก (ที่คุณพ่อมีให้คุณ) หน่อยสิ"

Ko Saipetch said...

ขอบคุณคุณ Tosak สำหรับความเห็นครับ ผมมีอะไรเพิ่มนิดหน่อย

คุณ Tosak บอกว่า ผมคิดว่าจริงแล้วเราบอกไม่ได้ทั้งหมดว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องไหนเป็นปรากฏการณ์ในสมองเรานะครับ เพราะทุกอย่างข้างนอกเรา ก็ถูกรับรู้แล้วแปลงเป็นประสบการณ์โดยสมอง เพื่อให้เราเข้าใจ สิ่งที่เราคิดก็เป็นประสบการณ์ในสมองเหมือนกัน

ผมคิดว่าถ้ามันเป็นปรากฏการณ์ในสมองที่คิดไปเอง โดยไม่มีผีอยู่นอกสมอง เราก็น่าจะศึกษาสมองได้นะครับ เราอาจจะเจอว่ารูปแบบสัญญาณไฟฟ้าในสมองแบบหนึ่งแปลว่าเจ้าของสมอง(กำลังคิดว่า)เจอผี แต่ถ้าไม่ใช่ปรากฏการณ์ในเฉพาะสมองคนบางคน เราก็น่าจะหาทางศึกษาสิ่งเร้า(คือผีจริงๆ)ที่มาทำให้เกิดสัญญาณในสมองได้

ยกตัวอย่างเรื่องความรัก ผมคิดว่าเรามีข้อมูลพอเพียงจากการ scan สมองว่าสัญญาณในสมองแบบหนึ่งแปลว่าเจ้าของสมองกำลังมีความรักนะครับ (ข่าวจาก http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/820857.stm)

เราพิสูจน์ว่าอะไรไม่มีไม่ได้ เพราะสมมุติว่าเราพยายามหาของบางอย่างไป 1,000,000 ที่แล้วยังไม่เจอ เราก็ไม่สามารถสรุปว่าสิ่งนั้นๆไม่มี เพราะการหาครั้งที่ 1,000,001 อาจจะเจอก็ได้
แต่สมมุติว่าเราพยายามหาของไป 1,000,000 ที่แล้วยังไม่เจอ แม้ว่าเราจะไม่สามารถฟันธงแน่นอนว่ามันไม่มี แต่แราก็มีความเชื่อค่อนข้างมากว่าของสิ่งนั้นอาจจะไม่มี แต่เราก็อาจจะผิดได้ในอนาคต นักวิทย์ที่ดีจะเตรียมตัวผิดเสมอ และคิดว่า "ไอ้นี้มันจริงหรือเปล่า" "เรารู้ได้อย่างไรว่าจริง" "ถ้าสิ่งนี้เป็นจริงแล้ว แปลว่าเราสามารถสังเกตอะไรได้อีก"

ในทางตรงข้ามกัน เราสามารถพิสูจน์ได้ว่าของบางอย่างมีจริงแน่นอน ถ้าเราสามารถหามันเจอได้ และเราแน่ใจว่าคนอื่นๆก็หาเจอได้ ไม่ใช่เฉพาะสมองเราหลอกตัวเอง

ผมสงสัยว่าของวิเศษต่างๆอาจจะไม่มี แต่ผมก็หวัง(มากๆๆๆ)ว่ามันจะมี เพราะจะน่าสนใจอย่างมาก ผมคิดเล่นๆว่าถ้าปาฏิหารย์มีจริง ลักษณะของธรรมชาติและจักรวาลจะเป็นอย่างไร ผู้วิเศษอาจจะสามารถเข้าถึงหรือเข้าใจธรรมชาติระดับลึกเข้าไปอีก ลึกกว่าคนทั่วไป จึงสามารถดัดแปลงให้ธรรมชาติทำงานให้ในรูปแบบที่ดูเป็นของวิเศษสำหรับคนที่ไม่เข้าใจธรรมชาติลึกซึ้งเท่า ยกตัวอย่างเช่น คนบางกลุ่มเข้าใจว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำงานอย่างไร จึงสามารถสร้างวิทยุใช้สื่อสารระยะทางไกลๆกันได้ สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าวิทยุทำงานอย่างไร วิทยุก็ดูเหมือนของวิเศษ ผมเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน ของที่ดูว่าอยู่เหนือธรรมชาติ ถ้ามีจริง ก็แสดงว่าเรายังไม่เข้าใจลึกซึ้งพอเท่านั้น แต่เราต้องแน่ใจก่อนว่ามันมีจริงนะครับ :-)

Unknown said...

สมัยก่อนผมเข้าไปในป่าจะอธิษฐานชวนผีมาหาประจำ ทำอยู่พักใหญ่ก็ไม่เจอสักหน นอนกลางป่าแบบไม่เห็นคนเลยก็ยังไม่เจอ แต่มีหูฝาด ตาฝาดแว็บๆ ให้ตกใจบ้าง แต่พอมองดูดีๆก็ไม่เคยมีอะไร จนผมเลิกชวนมาเจอกันหลายปีแล้วครับ ชวนยังไงก็ไม่มา สงสัยไม่ถูกชะตากัน คงต้องคนที่ถูกชะตาเชื่อว่าผีชอบมาหาถึงจะได้เจอบ่อยๆ

แต่คนพวกนี้ก็หลงตัวเองหนักอยู่นะครับ ทำไมคิดว่าผีจะต้องสละเวลามาหาเค้า ในเมื่อไปออกรายการคนอวดผี คนเห็นเยอะกว่าเยอะเลย เค้าสำคัญยังไงสำหรับผี ถึงต้องมาหา พอหาแล้วไม่ได้อะไรกลับไปด้วย ส่วนบุญก็ยังไม่ให้เขาเลยเอาแต่กลัวจะสวดมนต์ไล่กันอย่างเดียว เขาจะมาหาทำไม มาหาผมนี่จะแผ่ส่วนบุญให้ฟรีๆไม่เอา