Friday, July 31, 2009

Thursday, July 30, 2009

เราคุยเรื่องนี้กันมาเป็นสิบปีแล้ว: การศึกษาไทย กับความรู้ ที่ไม่ก่อให้เกิด ปัญญา

บทความเต็มที่เว็บสารคดีครับ เป็นข่าวจากปี 2541 คุณแม่ท่านหนึ่งจากอนุบาลบ้านพลอยภูมิส่งมาให้

ตัวอย่าง:

อาจารย์สมพงษ์ เรียกระบบการเรียนการสอน ในมหาวิทยาลัยของไทยว่าเป็น "วัฒนธรรมไร้สาระ" เพราะเด็กที่สอบเข้า มหาวิทยาลัยได้ ถือว่าตัวเองหมดภาระแล้ว หลังจากที่ถูกยัดเยียดว่า ต้องเรียนหนังสือให้เก่ง มาตั้งแต่อนุบาล เมื่อสอบ เอ็นทรานซ์ได้ จึงทำตัวไร้สาระกันเต็มที่ นอกจากนี้ความเป็นมนุษย์ และธรรมชาติ ความอยากเรียนรู้ ของเด็ก ยังถูกทำลายไป จากการที่ถูก "เร่งเครื่อง" เต็มที่ และต้องเจอกับ สภาพความกดดันจาก การแข่งขัน เรื่องการเรียนอีกด้วย

.....ด้านนพ.พร ฟันธงว่า ระบบการศึกษาของไทยนั้น ล้มเหลว ซึ่งตัวมันเอง มองไม่เห็น และแก้ไม่ได้ นอกจากนี้ เขาเห็นด้วยกับ ผู้ฟังท่านหนึ่งที่เสนอว่า ข้อบัญญัติในมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกัน ในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่าสิบสองปี นั้นเป็น "คุกทางความคิด" ที่อันตรายที่สุด

....."ด้วยสำนึกแห่งความเป็นรัฐ การศึกษาภาคบังคับ ก็คือการจับประชาชนเข้าคุก เราเคยเสนอให้ เปลี่ยนมาใช้คำว่า "การศึกษาขั้นพื้นฐาน" ซึ่งหมายถึง การที่ประชาชน มีอำนาจในการจัดการศึกษา ให้กับตัวเอง และจะเป็น ระบบ การศึกษา ที่นำไปสู่ การเปลี่ยนแปลง ทางความรู้ ความคิด และก่อให้เกิดปัญญา ถ้าปล่อยให้รัฐ จัดการอยู่อย่างนี้ เขาจะไม่สนใจอะไรหรอก เขาก็จับคุณ ยัดเข้าโรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัย แล้วก็ปล่อยให้คุณเป็น ควายกระป๋อง อยู่อย่างนั้น"

Tuesday, July 21, 2009

How They Built Apollo 11's Software

Wow. Full story here. You can also run a simulation of the Apollo computers here.

An excerpt from the story:

During the Apollo 11 Lunar Module’s descent to the Moon 40 years ago today, Garman played a direct role in preventing a mission abort. Several warning lights and computer overload alarms came on as the craft descended just above the Moon’s surface, causing worry in Mission Control, but all of Garman’s pre-flight simulation experiences told him that the alarms were not critical and the landing could continue. Without hesitating, and without panicking, the 24-year-old NASA computer engineer confidently gave the “go” to continue the mission.

Granville Paules, was a 32-year-old guidance officer for one of the Apollo 11 mission teams and remembers that moment well.

“The alarms went off on during descent,” Paules said. “It was a conflict between the on-board systems and the computer was starting to get overloaded. Garman had a simulation where a similar thing had occurred about three weeks before that, so he knew what to do. It probably would have been a lot scarier, possibly even an abort for the landing, if we had not had that simulation. I can say that the odds of aborting that lunar landing were a lot higher than people want to believe. That simulation gave everybody the confidence to turn off the alarm and ignore it.”

Tuesday, July 14, 2009

The Brick Testament


The Brick Testament: The world's largest, most comprehensive illustrated Bible!

I especially like the rating (N, S, V, C described in the Content Notice near the bottom.)

I first read the Bible when I was about 17 when I went to a US high school which was a Catholic school. I called myself a Buddhist then, but I didn't know much about any religion, just what was osmotically absorbed into my brain from Thailand environment since my birth.

I went to a mass and tried wine and bread (the Eucharist) to see if I can feel any transubstantiation (In Roman Catholic theology, transubstantiation means the change of the substance of bread and wine into the Body and Blood of Christ occurring in the Eucharist while all that is accessible to the senses remains as before.) When I told the girl next to me that I didn't feel anything different, just wine and bread, she hissed at me with "BLASPHEMOUS!" I didn't know why she was so angry. I thought it was very reasonable to check.

Anyway, I found the stories in the Bible gruesome but exciting, especially in the Old Testament. I finished the whole Bible in a week.

Currently, I don't think any religion group would claim me as one of their own since I think large chunks of every religion I know are not true. I like the teachings of Gotama Buddha's though, especially the Kalama Sutta. (Note that this is very different from Kama Sutra, although that's interesting too.)

I'm pretty sure that when we upgrade our biology (or brain) so that we become hugely more advanced, religious beliefs will be very different. I suspect that religions were invented because humans don't like uncertainties, so any certainties, even made-up ones, are preferred. If our descendants can run a billion simulations of how the future might turn out in their head, they will feel very comfortable with uncertainties and probabilities and they don't need to believe anything without solid evidences.



Sunday, July 12, 2009

วัดธรรมกายเอาเด็กมารวมกันเป็นแสนคน ขณะที่ประเทศไทยกำลังหาทางควบคุมโรคหวัดสายพันธ์ุใหม่

ผมกำลังติดตามสถานการณ์โรคหวัดสายพันธ์ุใหม่อยู่ แม้ว่าความคิดผมคือเราคงจะป้องกันการระบาดได้ยากมาก แต่ก็น่าจะมีทางยืดเวลาการระบาดเต็มที่ให้นานออกไป (นานจนนักวิทยาศาสตร์พบว่าจะมีทางสร้างวัคซีน หรือเข้าใจตัวไวรัสได้มากขึ้นจะได้ลดความรุนแรงลง) ถ้าเราไม่ทำอะไรโง่ๆ เช่นนำคนจำนวนมากจากทั่วประเทศมาอยู่รวมกัน โดยที่คนเหล่านี้มีโอกาสติดเชื้อ แล้วส่งพาหะเหล่านี้กลับไปที่ต่างๆทั่วประเทศ

ปรากฏว่าวัดธรรมกายทำอย่างนั้นเป๊ะเลยครับ

คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าคอนเสิร์ตเอาคนมารวมกัน 20,000 คนแล้วมีคนติดโรคแล้วตาย 1-2 คน (ดังข่าวสัปดาห์ที่แล้ว) วัดธรรมกายเอาคน 400,000 คนมารวมกัน คนจะตายกี่คน ผมประมาณแบบหยาบๆ (หยาบมากๆ) พอให้ได้ idea ว่าคำตอบน่าจะอยู่ระหว่าง best case และ worst case โดยที่ best case คือคนที่มีเชื้อยังไม่มีเวลาพอที่จะแพร่ให้คนส่วนใหญ่ และ worst case คือมีเวลาพอที่จะมีการผสมปนเปกันไปหมดระหว่างคนที่มีเชื้อและไม่มีเชื้อ

ใน best case ผมประมาณว่าถ้ามีคนส่วนใหญ่ยังไม่ติดเชื้อ จำนวนคนที่ตาย น่าจะแปรผันตรงกับ จำนวนคนที่มีเชื้อที่มาร่วมงาน คูณกับค่าคงที่ ซึ่งปริมาณคนที่ติดเชื้อที่มาร่วมงานก็แปรผันตรงกับจำนวนคนทั้งหมด ดังนั้น คนมารวมกัน 400,000 คนก็น่าจะมีคนตายเป็น 400,000/20,000 = 20 เท่าของคนรวมกัน 20,000 คน = 20 x (ตาย 1-2 คน) = ตาย 20-40 คน

ใน worst case ผมประมาณว่าถ้ามีคนส่วนใหญ่ยังไม่ติดเชื้อ จำนวนคนที่ตาย น่าจะแปรผันตรงกับ จำนวนคนที่มีเชื้อที่มาร่วมงาน คูณกับจำนวนคนยังไม่ติดเชื้อที่มาร่วมงาน โดยที่จำนวนทั้งสองก็ต่างแปรผันตรงกับจำนวนคนทั้งหมด ดังนั้น คนมารวมกัน 400,000 คน ก็น่าจะมีคนตายเป็น (400,000/20,000)(400,000/20,000) = (20)(20) = 400 เท่าของคนรวมกัน 20,000 คน = 400 x (ตาย 1-2 คน) = ตาย 400-800 คน

การป้องกันระวังตัวมากขึ้นเป็นการลดขนาดค่าคงที่ในอัตราการแปรผันตรงเท่านั้น และเนื่องจากการชุมนุมที่วัดนานกว่าระยะเวลาคอนเสิร์ตหลายเท่า ผมจึงคิดว่าสิ่งที่วัดบอกว่าได้ระมัดระวังอย่างมากแล้ว ก็คงไม่สามารถลดการแพร่เชื้อจนเป็นศูนย์ได้

แน่นอนคำตอบที่ใกล้ความจริง ต้องใช้แบบจำลองที่ละเอียดและถูกต้องมากกว่านี้ แต่การประมาณหยาบๆก็ให้ idea คร่าวๆกับเราได้ จำนวนคนเป็นสิบ หรือร้อย (หรือแม้แต่เพียงคนเดียว) ที่จะตายจากเหตุการณ์ไม่เข้าท่าแบบนี้ ก็เป็นการตายที่ไม่จำเป็นอย่างยิ่ง (เพราะหลีกเลี่ยงได้ถ้าผู้ใหญ่ไม่ไปบังคับเด็กให้มาร่วม)

ในฐานะที่ผมค่อนข้างจะเชื่อว่าคำสอนในพุทธศาสนาเป็นคู่มือการใช้สมองสำหรับ Homo sapiens ที่น่าจะเข้าท่ามาหลายศตวรรษแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพระผู้ใหญ่นั่งรถเบนซ์ทั้งหลายจึงตามบี้สันติอโศก แต่ปล่อยให้ธรรมกายทำเรื่องหลายๆเรื่องที่ไม่เข้าท่าอย่างนี้ เป็นผลจากอามิสหรือเปล่า (นักวิทยาศาสตร์มักจะพูดว่า "ค่อนข้าง" และ "น่าจะ" เพราะพวกเราถูกฝึกมาให้รู้ว่าเรารู้น้อยแค่ไหน และค้นหาความจริงในธรรมชาติได้ยากแค่ไหน และเราไม่ควรแต่งเรื่องมาหลอกผู้คน (+ห้ามใครเถียงด้วย!) เมื่อเรายังไม่ค้นพบว่าความจริงมีหน้าตาคล้ายๆแบบไหน)

มีความเห็นในข่าวที่ผมไปอ่าน ที่ผมเห็นด้วยแต่ไม่มีปัญญาเขียนได้ จึงขอคัดลอกมาดังนี้ :

ความคิดเห็นที่ 44

จุดประสงค์ของการปฏิบัติธรรมก็เพื่อการละคลาย หลุดพ้นออกจากสังสารวัฏ ออกจากความวุ่นวายและลักษณะทางโลก ออกจากหัวโขนและตำแหน่ง ออกจากอันดับและการลำดับชั้น ออกจากชื่อเสียงและเกียรติยศ

จะสังเกตได้ชัดๆว่าสำนักที่เห็นผิดโดยอ้างว่าช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา จะมีลักษณะดังต่อไปนี้

1.สำนักนั้นเน้นความเป็นใหญ่ ความเป็นอันดับ1

สิ่งนี้คือ ทิฏฐิมานะและอัตตา ความยึดมั่นในชื่อเสียงและความอลังการของ"ตัวตน" แท้จริงแล้วไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เป็นเพียงบัญญัติสมมุติเท่านั้น จริงอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครจะหลุดพ้นจากตัวตน เพราะเป็นธรรมที่ทวนกระแสโลก แต่หากผู้เผยแผ่ธรรมะหรือเจ้าสำนักต่างๆ ทำตัวเป็นผู้ส่งเสริมตัวตนหรืออัตตาซะเอง จะกล่าวไปใยถึงเหล่าปุถุชนที่เดินตาม

ท่านรู้ไหม ผู้ที่กล่าวประโยคที่ว่า
"อันตัวข้าพเจ้าเป็นดั่งผ้าเช็ดธุลี" คือใคร
ตอบ ท่านพระสารีบุตร ผู้ที่มีปัญญารองจากพระพุทธเจ้า
ท่านคือหนึ่งในยอดของพระอรหันตสาวก แต่ดูสิท่านกลับเป็นผู้ที่ไม่ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ หรือถือตัวว่าเป็นผู้เลอเลิศ

ดังนั้นสำนักใดใครว่าอะไรนิดหน่อยก็ง้างคนอื่นขึ้นทุกประเด็นโดยมิรับฟังเหตุผลที่สมควร หรือมิยอมที่จะลงให้กับผู้ใดเพราะถือตนว่าเป็นที่1
ขอให้ทราบไว้ว่า นั่นเป็นวิสัยของพญามาร

2.สำนักนั้นมีการเรี่ยไรเงินทองอยู่เป็นนิตย์

ถ้าหากมั่นคงในผลของกรรมแล้ว การจะได้เงินมาบำรุงสำนักหรือไม่ ก็อยู่ที่วิบากดีชั่วมิใช่หรือ ใยต้องทำผิดพระวินัยหรือทำในสิ่งที่ขัดกับแนวทางของพระพุทธศาสนา

พระพุทธองค์หรือคณะสงฆ์ในสมัยพุทธกาล แม้การไปบิณฑบาต ก็มิใช่การขอหรือเรี่ยไร แต่เป็นการไปโปรดญาติโยมให้มีโอกาสทำบุญเจริญกุศล ท่านเหล่านั้นได้เพียงอาหารเพื่อให้อยู่รอดที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ การรับของท่านเหล่านั้น ปราศจากกามและเกียรติยศชื่อเสียงค้ำคอ

แม้การกินอยู่ของท่านเหล่านั้นยังเป็นไปเพื่อผู้อื่น มิใช่เพื่อชื่อเสียงหรือความเป็นใหญ่ของตน

3.สำนักนั้นตีค่าปริมาณของวัตถุให้เท่ากับค่าของบุญ

เป็นความเข้าใจที่ผิดและยังเอาความเข้าใจนี้ไปบอกต่อคนจำนวนมากให้เห็นผิดมากขึ้นไปอีก เคยมีเรื่องเล่าในสมัยหลังพุทธกาลไม่นานนัก ที่กล่าวถึงบุพกรรมของเทพบุตรองค์หนึ่งซึ่งมีวิมานและรัศมีเจิดจรัสกว่าใครเพื่อน จึงได้สอบถามว่าท่านได้กระทำกรรมอันใดมา ปรากฏว่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ท่านเป็นเพียงชาวนาที่ไม่มีโอกาสเจริญบุญกุศลเลย วันๆเอาแต่ทำนา แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งพักกลางวันกำลังจะเอาข้าวอันน้อยนิดเข้าปาก ก็มีอีกาบินลงมาเกาะข้างๆแล้วมองหน้าชาวนาท่านนี้ ชาวนาท่านเมื่อเห็นสีหน้าอีกาก็รู้ว่าคงจะหิวมาก แต่ทำไงดีล่ะในเมื่อข้าวมีแค่อุ้งมือเดียว แต่ด้วยใจที่สละออก แม้มีน้อยก็ยังให้ได้ ท่านจึงสละข้าวนั้นให้แก่อีกา ด้วยคิดว่าตัวท่านน่าจะยังไหว แต่อีกาอาจจะตายแน่เพราะหุงหากินเองไม่ได้ แต่แล้วด้วยความเหนื่อยล้าและไม่ได้กินอาหาร ท่านจึงขาดใจตายตรงนั้น จึงยังผลให้ท่านเป็นเทพบุตรด้วยบุญสุดท้ายที่กระทำก่อนตายเพียงบุญเดียว แต่มีผลให้เสวยทิพยสมบัติหลายพันปี ด้วยจิตที่คิดสละออกนั่นเอง จะกล่าวไปใยถึงผู้ที่หมั่นเจริญบุญกุศลแท้ๆเป็นอันมาก สมดังกับพระพุทธพจน์บทหนึ่งที่กล่าวทำนองว่า "หากสัตว์ทั้งหลายรู้ผลของทานเหมือนเรารู้แล้วไซร้ สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่บริโภคก่อนที่จะให้เลย"
ท่านลองนึกดูว่า แม้เพียงข้าวเพียงอุ้งมือเดียว แต่จิตใจนั้นยิ่งใหญ่ที่จะสละออกไป โดยไม่นึกถึงว่าตัวเองจะรอดหรือไม่ เป็นมหากุศลเพียงใด ดังนั้นคุณค่าของบุญไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของวัตถุเสมอไป แต่อยู่ที่ใจหรือเจตนาที่เป็นกุศล ไม่ใช่โลภะที่ทำบุญเหมือนการลงทุนอะไรสักอย่าง ถ้าคิดแบบนี้ก็มีแต่จะขาดทุน เพราะอกุศลจิตเกิดแม้เพียง1ขณะจิต ก็มีผลงอกเงยสะสมเป็นผลของอกุศลในที่สุด

เมล็ดต้นมะม่วงปลูกลงไปในดิน ต้นของมันก็เจริญเติบโตขึ้นมาออกใบ ออกดอก ออกผล ฉันใดก็ฉันนั้น ผลของกรรมทั้งดีและชั่วย่อมให้ผลเกินตัว เพราะอกุศลจิตขณะที่กระทำชั่วหรือคิดอกุศลมีปริมาณที่มากแม้จะกระทำชั่วไปแค่ครั้งเดียว แต่ทำสิ่งใดย่อมได้ผลของสิ่งนั้นเสมอ

4.สำนักนั้นปฏิเสธพระไตรปิฎกโดยอ้างการปฏิบัติเพียงอย่างเดียว หรือบิดเบือนพระไตรปิฎก หรือ นำพระไตรปิฎกมาอ้างการปฏิบัติด้วยการตีความที่เข้าข้างความคิดเห็นของตนเองหรือมายามารที่ลวงให้เชื่อว่านั่นคือผลของการปฏิบัติ

เพราะพระไตรปิฎกเป็นตัวแทนของพระศาสดา ดังที่พระพุทธพจน์ที่ทรงตั้งพระธรรมวินัยนี้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์มิได้ตั้งใครเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ มิได้สั่งว่าหลังจากปรินิพพานแล้วจะกลับมาหาอีก พญามารก็สามารถแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกผู้ปฏิบัติได้ หากไม่ตรวจสอบกับพระธรรมวินัย ก็ย่อมเป็นเครื่องมือของมารในการทำลายพระพุทธศาสนา ย่อมหลอกให้คนรุ่นหลังหลงเชื่อว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาหาจริงๆ หรือคิดว่าสามารถขึ้นไปเดินเล่นบนเมืองนิพพานได้ คิดว่านิพพานมีบ้านมีเมืองสวยงาม
(เป็นโลภะและโมหะ ที่พอใจหลงใหลไม่รู้สึกตัว)

สำนักใดที่นำพระไตรปิฎกมาบิดเบือนหรือพยายามตีความพระไตรปิฎกเพื่อเข้าข้างความคิดเห็นตนเอง ย่อมนำความหายนะมาสู่พระศาสนาเป็นอันมาก

5.สำนักนั้นมีวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง รวมทั้งมีการนำเครื่องรางของขลังออกมาปล่อยเช่าบูชาอยู่เสมอ

สิ่งเหล่านี้เป็นความวิบัติของพุทธศาสนิกชนและพระพุทธศาสนา เป็นการเจริญของโลภะ ถ้าเป็นไปเพื่อการ"ได้" ไม่ใช่การ"ละ" ก็ย่อมหมายถึงการยืดสังสารวัฏให้ยาวออกไปอีก พระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์ต่างๆ แต่ละท่านก็มีคุณงามความดีให้ยึดถือและจดจำ นำไปปฏิบัติตาม มีพระธรรมคำสอนสืบต่อกันมาเพื่อให้ศึกษาให้เข้าใจและประพฤติตามธรรมอย่างสมควรแก่ธรรม เมื่อเพียรเช่นนี้จนมั่นคงแล้ว ท่านเรียกว่ามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม หากมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แล้วยังต้องการมีรูปหรือวัตถุเป็นเครื่องระลึกถึง แม้เพียงรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์ตัดมาใส่กรอบก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะอยู่ที่ใจว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนในการถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ หากเริ่มเป็นการสะสมพระ หรือเล่นพระเมื่อไหร่ หรือเริ่มขออานิสงส์ขอความช่วยเหลือจากเครื่องรางหรือวัตถุมงคลเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือวิบัติของศาสนาพุทธ เพราะนั่นไม่ใช่เจตนาที่บริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการละคลายแม้แต่น้อย มีแต่ความต้องการซึ่งเป็นโลภะอย่างละเอียด

หวังว่าข้อความเล็กน้อยเหล่านี้
จะเป็นประโยชน์ต่อสาธุชนไม่มากก็น้อย

อดีตปทุมมา

Saturday, July 11, 2009

Tuesday, July 07, 2009

เราจะเปลี่ยนประเทศได้อย่างไร?

สละเวลา 3 นาทีดูคลิปที่แกะดำทำไว้น่าจะดีนะครับ ถ้าคนไทยสัก 30 ล้านคนทำ ประเทศไทยเจริญแบบยั่งยืนขึ้นแน่

มี พ่อผาย สร้อยสระกลาง และ ท่าน ว.วชิรเมธี มาให้ความเห็นในคลิปครับ

Monday, July 06, 2009

บทความแนะนำ (อีกแล้ว): "ทักษิณ-กษิต" ใครคู่ควรข้อหาก่อการร้าย?"

โดยคุณ เปลว สีเงินครับ (กดที่นี่เพื่ออ่านบทเต็ม)

บทย่อ:

"...ควรเข้าใจให้ตรงตามมาตรฐานด้วยว่า ไม่ว่านักการเมือง หรือไม่นักการเมือง ไม่ว่า ส.ส.หรือรัฐมนตรี หรือนายกฯ หรือประธานรัฐสภา หรือนายหมู นายแมว คนไหนก็ตาม ในชั้นถูกกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนนี้ ไม่มีสิทธิอันใดบุบสลายที่จะไปเป็นนั่น-เป็นนี่ไม่ได้ ยังบวชได้ ยังไปนอกได้ ยังเป็นรัฐมนตรีได้ ยังผ่าตัดแปลงเพศได้

และยังเป็น ผบ.ตร.ได้ด้วยซ้ำ ดูอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท นั่นไง ถูกกล่าวหาอยู่ในคดี ๗ ตุลา.ฆ่าประชาชน ยังหน้านวล เรือนผมเรียบแปล้แลเงาม่วงอยู่ในตำแหน่งได้เลย เห็นมั้ยล่ะ!?

เพราะเพียงถูกกล่าวหา ยังไม่ทราบว่าผิดจริง หรือถูกจริง จนกว่าคดีจะไปถึงชั้นศาล และศาลท่านได้ไต่สวน พิจารณาความแล้ว ตัดสินอย่างใด-อย่างหนึ่งเป็นที่สุดแล้วนั่นแหละ

ทีนี้ กฎ-กติกามีว่าอย่างไร ก็ต้องเดินไปตามนั้นเป๊ะ!

ตอนนี้แค่ตำรวจกล่าวหา สิวๆ ครับ ท่านเด็จพี่-โฆษกพรรคเพื่อไทยที่ชอบผัดหน้า กรีดนิ้ว ออกมาตะแบงข่าวเป็นประจำน่ะ ไม่เห็นแก่ลูกหมีแพนด้า ก็ขอให้เห็นแก่พังแป้นอยุธยาบ้างเถอะ แถลงข่าวจวกรัฐบาลนั่นก็..เชิญเด็จพี่ตามสบาย แต่ขอไว้อย่าง ในฐานะเป็นคนสถาบันนิติบัญญัติ

อย่าพูดอะไรที่บิดเบือนกฎหมาย เพราะสังคมจะหลงเข้าใจผิด ด้วยนึกว่าคนในสถาบันนิติบัญญัติมีมาตรฐานเชื่อถือได้ พูดอะไรย่อมพูดตามหลักกฎหมาย อย่างที่ยกเหตุท่านรัฐมนตรีกษิตตกเป็นผู้ต้องหาก็ออกมาตีปี๊บ-ตีป่าให้ท่านลาออกวันนี้-เดี๋ยวนี้นั้น

มันยังไม่ใช่หรอกครับ ท่านจะลาออก หรือไม่ลาออก เป็นเรื่องของท่าน แต่จะให้ท่านลาออกเพราะเหตุตำรวจกล่าวหาบุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิ มันไม่เข้าครรลองกฎหมาย หรือกฎ-กติกา-มารยาทไหนๆ ในโลกบัญญัติไว้หรอก

ไอ้นักโทษคดีถึงที่สุดแล้ว แต่หนีไปก่อการร้ายต่อบ้านเมืองอยู่นอกประเทศ อย่างนั้นตะหากที่เด็จพี่จากพรรคเพื่อไทยควรทำหน้าที่ ช่วยกันไปลากคอกลับมาเข้ากระบวนการกฎหมายบ้านเมือง เพราะนี่...เป็นสิ่งที่องค์กรในสถาบันนิติบัญญัติพึงกระทำ

ไม่ใช่อุ้มให้ขี่คอทางด้านหน้าของแต่ละคน แล้วพากันซุกไซ้หว่างขาอย่างที่เห็นกันจะจะคาตาอยู่ขณะนี้!"