Tuesday, June 20, 2006

"ดื่มน้ำชาละลายไขมัน"

ตอนเด็กๆแม่ผมเคยบอกว่าคนจีนทานอาหารมันๆแล้วดื่มน้ำชาเพื่อละลายไขมัน ผมก็ไม่เชื่อเนื่องจากคิดไม่ออกว่าไขมันจะถูกละลายได้ยังไง
ปรากฏว่าเรื่องนี้อาจมีมูล ชาอาจจะมีสารเคมีที่ทำให้หลอดเลือดหัวใจไม่เสื่อมง่ายๆ

จาก blog นี้:

Sumpio, the lead author of the review in the Journal of the American College of Surgeons, said he and his colleagues reviewed more than 100 experimental and clinical studies about green tea in writing the article.

He said one theory is that the average 1.2 liters of green tea consumed daily by many people in Asia offers the anti-oxidant protective effects of the polyphenolic EGCG. EGCG may prevent LDL oxidation, which has been shown to play a key role in the pathophysiology of arteriosclerosis. EGCG also reduces the amount of platelet aggregation, regulates lipids, and promotes proliferation and migration of smooth muscle cells, which are all factors in reducing cardiovascular disease, he said.

Wednesday, June 14, 2006

If Life Gives You A Lemon, Make A Lemonade

"If life gives you a lemon, make a lemonade"
แปลตรงตัวว่า ถ้าชีวิตให้มะนาวกับคุณ จงทำน้ำมะนาวเสีย
แปลให้รู้เรื่องมากขึ้นว่า แม้ว่าคุณจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก คุณก็ควรทำสิ่งที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดของสถานการณ์นั้นๆ หรือให้เน้นคิดในทางบวกเพื่อหาทางออกที่ดี (lemon = ของห่วย เช่น That car is a lemon = รถคันนั้นห่วย)

ยกตัวอย่างเช่น

ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนตีห้าครึ่งเพราะธีธัชละเมออยากกินข้าว แล้วผมก็กระเด้งลุกขึ้นนั่งเพราะจำได้ว่าผมต้องเอาหนังสือเดินทางไปรับตั๋วที่จะบินไปอเมริกาวันอาทิตย์นี้ และผมก็จำได้อย่างกระทันหันว่าหนังสือเดินทางของผมใกล้จะหมดอายุ

ผมวิ่งไปที่กล่องเก็บเอกสาร (หัวใจเต้นตุบๆด้วยอดรีนาลิน) ขุดหนังสือเดินทางขึ้นมา ดูวันหมดอายุ เห็น 24 April 2007
ผมตกใจมากเพราะเห็นว่าหนังสือเดินทางผมหมดอายุแล้ว อุทานว่า "ตายแล้วๆ" กับอ้อ(ซึ่งปลอบธีธัชอยู่) รีบไปแปลงฟัน เพื่อซื้อเวลาในการคิดวางแผนไปทำหนังสือเดินทางใหม่

อ้อบอกว่าควรไปหาดูใน Internet ว่าจะทำหนังสือเดินทางใหม่อย่างไร

ผมค้นหา คำว่า "ทำ passport" ใน Google ไม่พบหน้าที่น่าสนใจ
ค้น "หลักฐาน ทำ passport"
พบหน้าใน pantip.com อ่านผ่านๆ แล้วตัดสินใจไปดูที่เว็บกระทรวงต่างประเทศที่นี่

สิ่งที่น่าสนใจก็คือหนังสือเดินทางใหม่มี electronic chip ที่เก็บข้อมูล สามารถรับได้ใน 2 วันทำการ และใช้ บัตรประจำตัวประชาชนเป็นหลักฐานเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมี
สิ่งน่าสนใจจาก blog นี้ เช่น

"ถ้ากลัวมีปัญหากับเจ้าหน้าที่เรื่องการสะกดชื่อภาษาอังกฤษ ก็แนะนำให้พก Transcript หรือเอกสารสำคัญที่มีชื่อภาษาอังกฤษของเราไปด้วยนะคะ (เคยเห็นกระทู้นึงเล่าปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เราสะกดแบบของเรา เค้าจะบังคับให้สะกดภาษาอังกฤษตามหลักราชบัณฑิตยสถานของเค้าเท่านั้น ก็เลยคิดว่าพกไปก่อนน่าจะดีเผื่อมีปัญหาเรื่องตัวสะกดชื่อ-นามสกุลภาษาอังกฤษ เพื่อแสดงว่าเราใช้ของเรามาแบบนี้และยืนยันที่จะใช้เหมือนเดิม)"

"ขั้นตอนที่ 1 รับบัตรคิว (บัตรคิวจำกัดจำนวนด้วยค่ะ หมดแล้วหมดเลย ต้องมาใหม่วันอื่น)"

"ถ้าไม่อยากใช้เวลานาน ต้องมาตั้งแต่เช้าเวลาเปิด 8.30 น.หรือไม่ก็อย่าเกิน 9.00 น. จะเสร็จภายใน 1 ชม. (เค้าว่ากันว่าอย่างนั้นนะคะ แต่ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า) พ่อเราไป 8 โมง มีคนมารอตั้งเยอะแล้วนะ"

"ถ้ามีพาสปอร์ตเล่มเดิมที่ยังมีวีซ่าอยู่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเรามีวีซ่าเหลืออยู่ในเล่มเดิม ต้องการรวมเล่ม เจ้าหน้าที่จะให้ใบคำร้องมากรอก เมื่อรับpassport เล่มใหม่มาก็ไปถ่ายเอกสารหน้าที่มีรูปเรา แล้วไปจ่ายค่าธรรมเนียมรับรองเอกสาร 100 บาทต่อเล่ม แล้วก็รอรับเล่ม ซึ่งก็ไม่เห็นมีอะไร แค่ปั๊มว่าเราเปลี่ยน passport จากเล่มเก่ามาเล่มใหม่แค่นั้น เวลาเข้าประเทศที่มี visa เหลืออยู่ในเล่มเก่าก็ให้ถือไปสองเล่มเลย"

"เพิ่งไปทำมาเหมือนกันครับ ที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เจ้าหน้าที่น่ารักดี
การทำก็สะดวกดี แต่คนเยอะมากๆ ผมไปประมาณ 11 โมงเช้า ได้ทำประมาณบ่ายสองบ่ายสามนี่แหล่ะ
แต่แย้งนิดนึงครับเอกสารรับรองชื่อไม่จำเป็นครับ เพราะนามสกุลผมก็มีปัญหาเหมือนกัน แต่เค้าแค่ให้เซ็นรับรองว่าจะใช้แบบนี้เท่านั้นเองครับ แต่เตรียมไปก็คงดีเหมือนกันครับ"

"เข้าไปวัดส่วนสูงเสร็จ ตอนถ่ายรูปอ่ะเค้าเก็บ 5 บาท เตรียมเหรียญกันไปด้วยค่าแสตมป์อ่ะ แปะใบขอทำพาสปอร์ต"

ฯลฯ


ขณะที่ผมกำลังรวบรวมเอกสารและข้อมูลอยู่นั้นเอง อ้อก็เดินมาบอกว่า "พี่โก้ passport หมดอายุปี 2007"

ผมตบหน้าผากตัวเองและตะโกนอ้าก(ในใจ)เพราะทนความปัญญาอ่อนของตนไม่ไหว

แล้วผมก็เขียน blog นี้เผื่อใครจะใช้ link ที่ผมเจอให้มีประโยชน์ได้บ้าง

Sunday, June 04, 2006

รักพระเจ้าอยู่หัว ด้วยปฏิบัติบูชากันเถิด

เราไม่ควรแสดงความจงรักภักดีด้วยเพียงแค่การใส่เสื้อเหลือง สวมสายข้อมือ บริจาคเงิน ลงชื่อถวายพระพรหรือประดับสัญญลักษณ์ต่างๆเท่านั้น

เรามาปฏิบัติตามคำแนะนำของพระองค์กันเถิด ปัญหาของประเทศใหญ่หลวงนัก ไม่สามารถพึ่งพาอัศวินม้าขาวที่ไหนได้หรอก เราต้องช่วยกันแก้เอง

เชิญศึกษา
พระราชดำรัสได้ที่เครือข่ายกาญจนาภิเษก

เราสามารถเริ่มได้ด้วยเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง และพยายามปฏิบัติตนอย่างมีศีลธรรมและจริยธรรมกัน

เป็นสิ่งที่ไม่ง่าย แต่ต้องทำ ถ้าอยากให้ประเทศไทยอยู่รอด แม้จะทำได้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็ควรทำเท่าที่ทำได้

เรามาเริ่มที่ตัวเรากันเถอะ